มือถือซัมซุงที่แพงที่สุด หายากที่สุด และหน้าตาโดดเด่นที่สุดตอนนี้ต้องยกให้ Galaxy Note Edge ที่มีจุดเด่นคือขอบด้านขวาถูกตัดออกไป และใส่หน้าจอโค้งมาแทน โดยที่สเป็กทุกอย่างถอดแบบมาจากเรือธงอย่าง Galaxy Note 4 แต่ด้วยความโดดเด่นและหายาก ทำให้บางคนเรียกว่าเป็นรุ่น limited edition
สเป็ก Samsung Galaxy Note Edge ( SM-N915G )
- ซีพียู Qualcomm Snapdragon 805
- แรม 3 GB
- หน่วยความจำภายใน 32 GB รองรับ microSD
- หน้าจอ 5.6 นิ้ว แบบ Super AMOLED ความละเอียด Quad HD (2560x(1440+160))
- กล้องหลังความละเอียด 16 ล้าน ระบบกันสั่น Smart OIS
- กล้องหน้าความละเอียด 3.7 ล้าน รูรับแสง f/1.9
- น้ำหนัก 174 กรัม
- แบตเตอรี่ 3000 mAh และระบบ Fast Charging
- NFC, Bluetooth v 4.1 (BLE), ANT+, MHL 3.0, IR LED (Remote Control)
Galaxy Note Edge มีรุ่นย่อยหลายโมเดลขึ้นอยู่กับประเทศที่วางขาย แต่สิ่งหลักที่ต่างกับก็คือซีพียูทั้ง 2 แบบ เริ่มจาก Snapdragon 805 ที่มี 4 core กับ Exynos 5433 ที่มี 8 core ซึ่ง Exynos รุ่นนี้ปรับปรุงได้ดีกว่ายุคก่อนชนิดที่ว่าเทียบชั้นกับ Snapdragon ได้สบาย ดังนั้นถ้าใช้งานแบบไม่อิงสเป็กแล้วทุกโมเดลก็มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน
เนื่องจากรุ่นนี้ไม่มีขอบด้านขวา ทำให้ต้องโยกปุ่มเปิด-ปิดไปไว้ด้านบน ส่วนปุ่มปรับเสียงถูกวางไว้ด้านซ้าย ทำให้การใช้งานจริงไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร โดยเฉพาะการเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิด-ปิด
กล้องหลังที่นูนออกมาจากตัวเครื่อง ทำให้มีโอกาสเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ แนะนำว่าควรหาเคสมาใส่เพื่อป้องกันเลนส์เป็นรอย ถัดลงมาเป็นเซ็นเซอร์สำหรับวัดอัดราการเต้นของหัวใจและวัดค่า UV ของแสงแดด
การจัดเรียง 3 ปุ่มด้านล่างยึดตามแนวทางใหม่ของซัมซุงคือ recent apps, home, back และปุ่ม home ยังทำหน้าที่อีกอย่างคือเป็นเครื่องสแกนลายนิ้วมือ ซึ่งสามารถใช้สำหรับปลดล็อกหน้าจอ หรือสแกนเพื่อเข้าสู่ private mode สำหรับซ่อนไฟล์ต่างๆ
แม้ว่าจะมีข่าวออกมาว่าระบบสแกนลายนิ้วมือทำได้ดีกว่าสมัย Galaxy S5 แต่เมื่อใช้จริงยังลำบากไม่ต่างจากเดิม คือต้องรูดนิ้วในแนวตั้งจากบนลงล่าง ซึ่งขัดกับตำแหน่งการวางมือ จึงไม่เหมาะกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานในสมัยนี้ ที่เปิดหน้าจอขึ้นมาดูบ่อยๆ ถ้าเทียบกับคู่แข่งในแง่ของความสะดวกแล้วยังถือว่าล้าหลัง ก้าวช้ากว่า iPhone 5S และ Huawei Mate 7
หน้าจอความละเอียดระดับ Quad HD หรือ 2K ที่ควงคู่มากับซีพียู Snapdragon 805 ก็ทำให้ได้ภาพที่คมชัดและลื่นไหล ต่างจากเพื่อนร่วมชาติอย่าง LG G3 ที่มีหน้าจอ 2K แต่ซีพียู Snapdragon 801 ซึ่งใช้จริงค่อนข้างหน่วง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับค่ายอื่นๆ ถือว่าซัมซุงยังมีรอมที่ค่อนข้างหน่วงกว่าชาวบ้าน จะเห็นได้ชัดเวลาที่เปิดแอปหรือเรียกใช้ recent apps แต่ก็ถือว่าเร็วกว่าซัมซุงรุ่นก่อนหน้านี้อยู่พอสมควร
ตัวการของความหน่วงนี้เกิดจาก TouchWiz ที่ซัมซุงครอบทับลงไปบนแอนดรอยอีกชั้น และยังคงถูกเว็บเมืองนอกบ่นอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แต่ความหน่วงที่ว่าก็ยังอยู่ในเกณฑ์รับได้ เช่น ปรกติกดและเข้าได้ทันที บางครั้งก็อาจจะช้าลง 1-2 วินาที แต่ก็แลกมาด้วยความสามารถที่อัดแน่นพอตัว
ส่วนแถบ panel ด้านข้างใช้วิธีเลื่อนเพื่อเปลี่ยนหน้า สามารถเพิ่ม-ลด panel หรือเขียนข้อความได้ แต่ด้วยความที่ Galaxy Note Edge เป็นรุ่นที่ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้ไม่ค่อยมีนักพัฒนาสร้าง panel ขึ้นมาให้โหลดใช้งาน
นอกจากความสวยงามแล้ว ตัว panel ที่ขอบโค้งยังปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ด้วย เช่น เมื่อมีสายเรียกเข้าระหว่างปิดหน้าจอ ก็จะมีปุ่มรับสายตามปรกติ แต่ถ้าสายเรียกเข้าระหว่างที่เราเปิดใช้งานแอป การรับสายจะใช้วิธีสไลด์ที่ panel ด้านข้าง หรือการดูหนังก็ย้ายปุ่มควบคุมไปไว้ตรง panel แทน ทำให้ไม่เกะกะสายตาระหว่างดูหนัง
สำหรับคนที่ถนัดซ้าย ซัมซุงก็มีโหมดให้พลิกเครื่องเล่น ซึ่งใช้จริงแล้วค่อนข้างตลก เพราะปุ่ม home จะอยู่ด้านบน ส่วนกล้องหน้าจะอยู่ด้านล่าง และการใช้งานจริงมีโอกาสที่อุ้งมือจะเผลอไปโดนปุ่มต่างๆ ที่ panel ซึ่งการใส่เคสจะช่วยลดปัญหานี้
เซ็นเซอร์ด้านหลังต้องใช้ควบคู่กับแอป S Health เพื่อวัดค่า UV ด้วยการหันเซ็นเซอร์เข้าหาแสงแดด นอกจากนี้ยังใช้นิ้วทาบเพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดระดับอ๊อกซิเจนและระดับความเครียดได้อีกด้วย
เซ็นเซอร์ด้านหลังยังใช้แทนปุ่มชัตเตอร์ในการถ่ายรูปด้วยกล้องหน้าได้ โดยจะทำการถ่ายเมื่อปล่อยนิ้วจากเซ็นเซอร์ แต่เมื่อใช้จริงพบว่ามีโอกาสสูงที่ภาพจะเบลอ เพราะจังหวะที่เราปล่อยนิ้วจากเซ็นเซอร์ มือเราจะขยับทำให้กล้องสั่นและภาพเบลอ
ระบบ Multi window และการแบ่งพื้นที่หน้าจอทำได้ดีขึ้นกว่ายุค Note 3 โดยลากนิ้วจากมุมจอลงมาเพื่อย่อแอปให้เป็นหน้าต่าง แต่การย่อหน้าต่างแบบนี้ไม่สามารถใช้งานได้กับบางแอป
การใช้ Multi window เปิด 2 หน้าต่างพร้อมกันก็สามารถเรียกใช้ได้ 2 วิธี
- กดปุ่ม back ค้างไว้เพื่อเรียกแถบ Multi window
- กดปุ่ม recent apps และกดที่สัญลักษณ์ Multi window
เมื่อเอามาใช้ร่วมกันก็ทำให้เปิดได้มากกว่าครั้งละ 2 แอป ซึ่งการใช้จริงอาจสร้างความสับสนเกินไป
นอกจากนี้โหมดใช้งานมือเดียวก็ทำได้สะดวกกว่ารุ่นก่อนๆ เพียงแค่ปัดนิ้วจากด้านข้างเข้าไปยังกลางจอและปัดนิ้วกลับ ก็จะเป็นการเรียกใช้โหมดมือเดียว ซึ่งแถบ panel ด้านขวาก็จะถูกยุบไปรวมในหน้าต่างนี้ด้วย
ถ้าแบ่งประเภทการใช้งานของปากกาอย่างง่ายก็จะได้ 3 แบบคือ
- Action memo สำหรับจดบันทึกด่วนๆ เสมือน post it และมีระบบแปลงลายมือเป็นตัวอักษรเพื่อบันทึกหรือค้นหา
- Capture screen ที่มีหลายโหมด แต่ถ้านับรวมๆ ก็คือการจับภาพหน้าจอและขีดเขียนหรือส่งต่อ
- S Note สำหรับบันทึกที่จริงจังมากขึ้น มีการแบ่งหมวดหมู่เสมือนสมุดแต่ละเล่ม
ที่น่าสนใจคือระบบ Photo Note ที่เพิ่มมาใน S Note เหมาะสำหรับถ่ายรูปป้ายหรือกระดาน หลังจากนั้น Photo Note จะทำการ crop และปรับมุมองศาให้อ่านง่ายขึ้น และยังสามารถแก้ไขบางส่วนของภาพได้ค่อนข้างง่าย
เนื่องจากรุ่นนี้มีไมค์ 3 จุด ทำให้การบันทึกเสียงมีมิติมากขึ้น สามารถเลือกได้ว่าต้องการดูดเสียงรอบข้างในลักษณะไหน ส่วนลำโพงที่อยู่ด้านหลังก็ให้เสียงที่ค่อนข้างประทับใจทั้งในแง่ของความดังและคุณภาพ
อีกส่วนที่น่าสนใจ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็คือระบบ help messages ที่เป็นความสามารถหนึ่งของ Safety assistance เหมาะสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยทำการส่งภาพ เสียง และพิกัดไปยังหมายเลขที่เราบันทึกไว้ ผ่านช่องทาง MMS ด้วยการกดปุ่มเปิด-ปิด 3 ครั้งติดกัน
อัลบั้มรูปยังคงมีปัญหาเรื่องของความหน่วง และจะเห็นได้ชัดถ้าทำการเชื่อมต่อกับ Dropbox ที่มีรูปเยอะๆ เครื่องจะทำงานช้ามาก แนะนำว่าไม่ควรเปิดระบบนี้
ในการใช้งานช่วงแรกพบว่าเครื่องทำงานค่อนข้างหน่วง แต่เมื่อผ่านไปสักพักให้เครื่องได้ทำการ cache ข้อมูลต่างๆ ก็จะพบว่าเครื่องทำงานได้ลื่นไหล
ในแง่ของความอึดเมื่อเทียบจากการใช้งานจริงก็ถือว่าแบตเตอรี่อยู่ค่อนข้างนาน และยังมี Power saving สำหรับลดการทำงานเพื่อยืดอายุการใช้งานระหว่างวัน แต่ถ้ากรณีฉุกเฉินก็มี Ultra Power saving ที่ปรับหน้าจอเป็นสีดำและตัดการเชื่อมต่อเพื่อให้ใช้งานได้ราวๆ ครึ่งเดือน นอกจากนี้ยังมีระบบ Fast charging ที่ชาร์จเร็วกว่าปรกติ 30% หรือใช้เวลา 30 นาทีเพื่อชาร์จ 50%
กล้องถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น เมนูไม่สับสนเหมือนสมัยก่อน และโหมด auto เก่งขึ้นมาก ทำให้ไม่จำเป็นต้องปรับโหมดให้วุ่นวาย และที่สำคัญสามารถล็อกแสงและโฟกัสได้ด้วยการกดค้างที่หน้าจอ
ถ้าถือในแนวตั้ง ปุ่มชัตเตอร์จะเลื่อนไปอยู่ตรงกลางเพื่อให้ใช้นิ้วโป้งกดถ่ายได้ง่ายขึ้น
สำหรับโหมดที่น่าสนใจก็อย่างเช่น
- Selective focus ทำหน้าชัดหลังเบลอ หรือหน้าเบลอหลังชัด
- Shot & more ถ่ายหลายช็อตและเลือกว่าจะใช้ลูกเล่นอะไร
- Virtual tour บันทึกคลิปทิศทางการเดินพร้อมแผนที่บอกเส้นทางที่เคยเดิน
ในส่วนของ Selective focus เมื่อเทียบกับค่ายอื่นๆ หรือแม้แต่แอป Google Camera ก็ถือว่ายังทำได้ไม่ดีนัก มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะที่ถ่ายต้องไม่ไกลเกินไป ไม่สามารถเลือกวัตถุที่ต้องการโฟกัสภายหลัง เลือกได้แค่ว่าจะโฟกัสใกล้หรือไกล และปรับระดับความเบลอไม่ได้
แต่ถ้าพูดถึงภาพรวมของกล้อง ถือว่าทำได้น่าประทับใจมาก โดยเฉพาะในที่แสงน้อยที่ได้รับอานิสงค์จาก OIS ทำให้คุณภาพดีกว่ารุ่นก่อนๆ ของซัมซุง และยังช่วยให้การบันทึกคลิปดูเนียนตาไม่สั่นมากนัก
ตัวอย่างรูปถ่าย
ความเห็นของทีมงานล้ำหน้า
Galaxy Note Edge ความจริงแล้วก็คือ Note 4 ลบขอบ ซึ่งถือว่าเป็น Galaxy Note ที่เก่งกว่ารุ่นก่อนแบบก้าวกระโดดในทุกด้าน ถ้าจะให้ติก็คงมีเรื่องของเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือที่ยังไม่ดีพอ และรอมที่หน่วงกว่าค่ายอื่นๆ แต่ในภาพรวมแล้วถือว่าเป็นรุ่นที่น่าใช้มาก
ส่วนของ Edge screen ได้เรื่องของความสวยงาม และถ้าใช้คล่องจะพบว่ามันสะดวกกว่าการที่ต้องเอื้อมนิ้วไปกดแอปที่หน้าจอ แต่ต้องทำใจว่า Note Edge เป็นรุ่นที่ไม่ได้เจาะตลาด mass ดังนั้นจึงไม่มี panel ให้โหลดใช้เท่าที่ควร
ในแง่ของความคุ้มค่าก็ต้องบอกว่า Galaxy Note 4 น่าสนใจกว่า โดยเฉพาะการอิงราคาปัจจุบันที่ Note 4 เริ่มมีร้านตั้งราคา 20,000 บาท ในขณะที่ Note Edge ยังคงขายกันที่ประมาณ 30,000 บาท เว้นแต่ว่าต้องการความ Unique และสไตล์ที่โดดเด่น