รีวิว Xiaomi Yi Sport Camera แอคชั่นแคมขวัญใจมหาชน

การมาของกล้องในกลุ่ม Action Camera อย่าง Yi Sport Camera ทำให้คนหันมาสนใจกล้องประเภทนี้มากขึ้น เพราะคุณสมบัติใกล้เคียง GoPro มีขนาดพกพาสะดวกและสั่งงานผ่านมือถือได้ แต่ราคาถูกกว่าประมาณ 5  เท่า

Image20150313165557[1]

สเป็กกล้อง Xiaomi Yi Sport Camera

  • ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.8 มุมกว้าง 155 องศา
  • เซ็นเซอร์ Sony Exmor R BSI CMOS
  • หน่วยประมวลผลภาพ Ambarella A7LS
  • รองรับ microSD สูงสุด 64 GB และไม่มีหน่วยความจำภายใน
  • น้ำหนัก 72 กรัม
  • แบตเตอรี่ 1010 mAh
  • รองรับการเชื่อมต่อ micro USB และ micro HDMI

Image20150313164638[1]

สิ่งที่ทำให้หลายคนหันมาสนใจ Yi Sport Camera ก็คือราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 399 หยวน หรือประมาณ 2,000 บาทเท่านั้น งานนี้เรียกว่าท้าชนเบอร์หนึ่งเลยก็ว่าได้ เนื่องจาก Yi Sport Camera มีสเป็กใกล้เคียงกับ Action Camera เบอร์หนึ่งของวงการอย่าง GoPro แต่ราคาถูกกว่ากันหลายเท่าตัว

Image20150313142047[1]

Yi Sport Camera ไม่ใช่กล้องรุ่นแรกของ Yi แต่มี Yi Smart Camera วางขายมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นถ้าจะสั่งซื้อผ่านหน้าเว็บก็อย่าลืมตรวจสอบชื่อรุ่นให้ดี

DSC00010_Fotor[1]

การใช้งาน Yi Sport Camera ก็ไม่ต่างจาก Action Camera ทั่วไปคือปุ่มด้านหน้าใช้สำหรับเปิด-ปิดและเปลี่ยนโหมด รอบๆ ปุ่มมีแสงไฟบอกสถานะของแบตเตอรี่

DSC00012_Fotor[1]

ด้านข้างมีปุ่มสำหรับเปิด WiFi เพื่อเชื่อมต่อกับมือถือ ด้านบนมีปุ่มชัตเตอร์และไฟบอกสถานะ ด้านล่างมีช่องสำหรับใส่ขาตั้ง

DSC00013_Fotor[1]

ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ จะถูกซ่อนอยู่ภายใต้ฝาปิดอีกที

Screenshot_2015-03-14-01-02-42[1]

การใช้งาน Yi Sport Camera สามารถใช้งานแบบ Stand Alone โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือ แต่เนื่องด้วยตัวเครื่องไม่มีหน้าจอ ดังนั้นการเชื่อมต่อและสั่งงานผ่านมือถือก็ช่วยให้ได้มุมองศาที่ดีขึ้น

การเชื่อมต่อกับมือถือทำได้ไม่ยาก เพียงแค่กดปุ่ม WiFi ด้านข้างตัวเครื่องและรอสักพักให้ไฟสีฟ้ากระพริบ จากนั้นก็เปิดแอป Yi Camera และทำการเชื่อมต่อผ่าน WiFi ก็พร้อมใช้งาน ส่วนการพรีวิวภาพบนหน้าจอก็มีการ delay เล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปรกติของการควบคุมกล้องผ่านมือถือ

แอป Yi Camera ทำออกมาค่อนข้างดีมีลูกเล่นที่น่าสนใจ โดยแบ่งการถ่ายออกเป็น 3 โหมดคือ

  1. Photo สำหรับถ่ายภาพนิ่ง
  2. Snapshot สำหรับถ่ายคลิปสั้นๆ
  3. Video สำหรับถ่ายคลิป

ในส่วนของ Photo มีความละเอียดสูงสุดที่ 16 ล้านพิกเซล ถ่ายได้เฉพาะอัตราส่วน 4:3 เท่านั้น และมีโหมดย่อยคือ Normal, Self-timer, Time Lapse, Burst ซึ่งสามารถถ่าย Time Lapse ได้ตั้งแต่ 0.5 – 60 วินาที และ Burst ได้สูงสุด 7 ภาพต่อวินาที และยังตั้งค่าการวัดแสงได้ทั้ง Center, Average และ Spot

ส่วน Snapshot จะเป็นการถ่ายคลิปสั้นๆ ที่ความละเอียด 640×480 เพื่อให้บันทึกลงมือถือและแชร์ต่อได้สะดวก

Video สามารถบันทึกได้สูงสุดที่ Full HD 60p ในอัตราส่วน 16:9 แต่ถ้าต้องการถ่ายภาพนิ่งระหว่างบันทึกคลิป ต้องลดความละเอียดลงมาเหลือ Full HD 30p

Screenshot_2015-03-14-01-04-04[1]

การตั้งค่าอื่นที่น่าสนใจเช่น

  • Auto low light สำหรับถ่ายในที่แสงน้อยให้ดีขึ้น
  • Auto turn on WiFi with device ให้เปิดการเชื่อมต่อ WiFi ทันทีที่เปิดเครื่อง
  • Loop recording ในกรณีที่หน่วยความจำเต็มจะบันทึกคลิปทับไปเรื่อยๆ
  • Buzzer volume ระดับความดังเสียง “บี๊บ” เมื่อสั่งงาน
  • LED mode เปิด-ปิดไฟแสดงสถานะที่ตัวกล้อง
  • Find the camera ใช้ค้นหาตำแหน่งของกล้องด้วยเสียง “บี๊บ”

นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานระหว่างชาร์จได้ จึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับ Loop recording เพื่อเป็นกล้องวงจรปิดหรือติดหน้ารถได้ และการปิด Buzzer volume และ LED mode นอกจากจะลดการรบกวนผู้อื่นแล้วก็ยังช่วยลดการบริโภคพลังงานได้ด้วย

ส่วนการตั้งค่าอีกอย่างที่ถือเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือ Lens rectification สำหรับลด Distortion หรือความผิดเพี้ยนบริเวณขอบภาพ ซึ่งเป็นลักษณะของกล้องที่มีมุมมองกว้างมากๆ

DSC00005_Fotor[1]

คนที่ไม่รู้จัก Action Camera มักนำไปเทียบกับกล้องมือถือและบอกว่า Yi Sport Camera ภาพไม่สวย ไม่มีมิติ ซึ่งถือเป็นการเทียบที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะกล้องแนวนี้เดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับกีฬากลางแจ้ง โดยมีเป้าหมายคือขนาดเล็กติดตั้งง่าย สามารถเก็บภาพได้ชัดทุกระยะและมีมุมกว้างมากๆ เช่นนำไปติดหน้ารถจักรยาน หรือติดที่หมวก หรือติดที่สัตว์เลี้ยง

แม้ว่าตอนนี้คนนิยมนำมาประยุกต์ใช้กับแนวอื่นเช่น selfie เพราะความสะดวกในการพกพา แต่ก็ควรทำความเข้าใจคุณลักษณะของกล้องประเภทนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

Image20150314202924[1]

ดังนั้นการทดสอบเปรียบเทียบในครั้งนี้จะเทียบกับ GoPro Hero3 Black edition ซึ่งเปิดตัวที่ราคาประมาณ 13,000 บาท ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.8 และแบตเตอรี่ 1050 mAh กับ SJCAM SJ4000 ราคาประมาณ 3,200 บาท ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.8 แบตเตอรี่ 900 mAh

ด้านรูปร่างภายนอก GoPro มีขนาดเล็กที่สุด และ SJ4000 ใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นผลมาจาก SJ4000 มีหน้าจอในตัว แม้ว่าจะเพิ่มความสะดวกในการใช้งานแต่ก็ทำให้บริโภคพลังงานมากขึ้นตามไปด้วย ในแง่ความสามารถของทั้ง 3 รุ่นไม่ต่างกันมากนัก แต่จะมีจุดต่างที่ชัดเจนคือ GoPro และ Yi มีโหมดสำหรับลด Distortion ซึ่งไม่มีบน SJ4000 ในขณะที่ SJ4000 มีโหมดลดการสั่นและมี HDR แต่รุ่นอื่นไม่มี

DCIM100MEDIA

การทดสอบแรก เริ่มจากที่กลางแจ้งซึ่งเป็นจุดแข็งของกล้องประเภทนี้ เริ่มจากรูปด้านซ้ายซึ่งถ่ายในโหมดปรกติพบว่า Yi และ GoPro เก็บภาพได้มุมกว้างกว่า SJ4000 อย่างชัดเจน แต่ในแง่สีสัน SJ4000 ดูจัดจ้านที่สุดซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากระบบ HDR ส่วน GoPro ได้สีที่เอียงไปทางโทนอุ่นติดสีเหลือง ด้านความละเอียดก็ไม่ต่างกันมากนัก เว้นแต่จะนำภาพมาถ่างขยายและจับผิดซึ่งก็เด่น-ด้อยต่างกันไป

รูปด้านขวาเป็นการเปิดโหมดเพื่อลด Distortion ซึ่งมีอยู่บน Yi และ GoPro ช่วยให้ขอบภาพผิดเพี้ยนน้อยลง แต่มุมมองก็แคบลงไปด้วย

DCIM100MEDIA

ในที่แสงน้อยซึ่งเป็นจุดอ่อนของกล้อง Action Camera กลับสร้างความต่างให้ Yi ชนะแบบทิ้งห่าง GoPro และ SJ4000 ทั้งในแง่ความสว่าง ความคมชัดและมุมมองที่กว้าง

และเมื่อปรับลด Distortion ตามรูปด้านขวาก็เห็นได้ว่า Yi ให้สัดส่วนได้ดีที่สุด เสาที่อยู่ด้านซ้ายก็ตั้งตรงตามที่ควร ยกเว้นลูกฟุตบอลด้านขวาที่ยังคงมีอัตราส่วนเพี้ยน ในขณะที่ GoPro หลังลด Distortion ก็ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ SJ4000 คือมีมุมมองที่แคบกว่า Yi และเสายังคงเบี้ยวแต่ลูกฟุตบอลไม่ผิดสัดส่วน

ด้านการบันทึกคลิปในที่แสงน้อย Yi ก็ค่อนข้างมืด ต่างจากการถ่ายภาพนิ่งที่ทำไว้ดีมาก

สำหรับที่แสงน้อย GoPro ก็ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ Yi

และการที่ Yi ไม่โดดเด่นเหมือนการถ่ายภาพนิ่ง ทำให้ SJ4000 ดูสูสีกับ Yi และ GoPro

เมื่อนำ Yi มาปรับโหมดลด Distortion ก็ยังคงมีความผิดเพี้ยนให้เห็น

และเมื่อลด FOV บน GoPro ลงมาเป็น Medium ให้ใกล้เคียงกับ Yi ก็ยังคงมี Distortion เช่นกัน

เมื่อนำทั้ง 3 รุ่นมาทดสอบความเที่ยงตรงของเฉดสีและความสั่นของการบันทึกคลิปพบกว่า GoPro ทำได้ดีที่สุด รองมาคือ Yi

ความเห็นจากทีมข่าวล้ำหน้า

Image20150313170031[1]

จากการทดสอบในหลายสถานการณ์ เรียกว่าในภาพรวมแล้ว Yi Sport Camera มีผลลัพธ์ที่น่าประทับใจมาก

ส่วนการที่ไม่มีหน้าจอก็ช่วยให้ใช้งานต่อเนื่องได้ค่อนข้างนาน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วกล้อง Action Camera จะบันทึกคลิปต่อเนื่องได้ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วย โดยเฉพาะความละเอียดที่เลือกใช้ และการลดภาระบนตัวเครื่องด้วยการปิดไฟสถานะต่างๆ

Yi Sport Camera ต่างกับพวก QX lens ตรงที่การใช้งานแบบ Stand Alone จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เนื่องจาก QX lens มีการเลือกระยะโฟกัสเพื่อทำมิติหน้าชัด-หลังเบลอต่างจาก Yi Sport Camera ที่เน้นถ่ายให้ชัดทั้งภาพ ทำให้ QX lens อาจโฟกัสหลุด รวมถึงการประมวลผลภาพที่ค่อนข้างแย่เมื่อไม่ได้ใช้ร่วมกับมือถือ ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Action Camera ถูกนำมาใช้แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะ Yi Sport Camera ที่ออกแบบมารองรับขากล้อง selfie โดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริม

จุดเด่นอีกอย่างของ Action Camera ก็คือชุดอุปกรณ์เสริมต่างๆ ซึ่ง Xiaomi เคยประกาศไว้ว่าเมื่อประกอบ Yi Sport Camera เข้ากับ housing จะสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 40 เมตร แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีอุปกรณ์เสริมดังกล่าววางขาย ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มวางขายช่วงปลายเดือนเมษายนพร้อมกับแอปสำหรับ iOS

ส่วนเรื่องราคาเปิดตัวราว 2,000 บาทนั้น เป็นราคาที่เราไม่สามารถซื้อได้ เนื่องจากสินค้ามีน้อยและเป็นที่ต้องการสูง ทำให้พ่อค้าจีนเหมาจนหมดสต็อกและนำมาขายเก็งกำไรเช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ ของ Xiaomi และเมื่อรวมค่าขนส่งบวกกำไรให้พ่อค้าแล้วกว่าจะถึงมือคนไทยเรา ราคาก็ขยับเป็น 3,xxx บาทเรียบร้อย แต่เมื่อเทียบกับคุณสมบัติแล้วก็ยังถือว่าน่าใช้อยู่ดี

และสำหรับคนที่ถามหาแอปภาษาไทย ทีมงาน MIUI Thailand ก็จัดทำไว้ให้แล้วเช่นเคย หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.miui.in.th

อดีตโปรแกรมเมอร์ที่ออกมาเรียนรู้โลกกว้าง อยากช่วยเหลือผู้คน ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย บอกเล่าในสิ่งที่ตัวเองรู้ และอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมน่าอยู่