ขั้นตอนที่ 1
ทางเฟสบุ๊คจะใช้การประมวลผลภาพแบบเดิมเพื่อเลือกพื้นที่ที่อาจมีสิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น และไม่สนใจรูปภาพในส่วนที่เป็น ทะเลทราย ป่า หรือแหล่งน้ำต่างๆ
ขั้นตอนที่ 2
จะมีการนำเครื่องมือ image-recognition engine หรือ เครื่องมือในการจดจำภาพของเฟสบุ๊คมาใช้ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ convolutional neural network หรือ เซลล์ประสาทเทียม ที่มีคุณสมบัติมีมิติคงที่ซึ่งฝังอยู่ในรูปทุกรูป และสามารถใช้เครื่องมือตัวนี้ ซึ่งสามารถนำไปใช้งานกับรูปภาพธรรมดาได้อย่างมีประสิทธิภาพในการค้นหาว่าในรูปภาพที่ถ่ายจากดาวเทียมนั้นประกอบด้วยตึก อาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างในรูปหรือไม่
ขั้นตอนที่ 3
และสุดท้าย ทางเฟสบุ๊คจะพัฒนาตัว neural network ที่ออกแบบมาเพื่อปัญหาเฉพาะด้าน โดยการใช้ binary labeling scheme ที่ใช้ระบุว่ารูปภาพนั้นมีหรือไม่มีอาคารที่อยู่อาศัยอยู่ ซึ่งเจ้า neural network นั้นสามารถเรียนรู้ “อะไร / what” และ “ที่ไหน / where” ในเวลาเดียวกันได้
ซึ่งมันสามารถใช้ในการระบุภาพร่างของอาคารที่อยู่อาศัย หรือจุดเด่นบริเวณนั้นๆได้อย่างแม่นยำ ในทางกลับกัน ก็สามารถระบุพิ้นที่ที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างโดยมนุษย์ได้อย่างแม่นยำเช่นกัน
ระบบคงต้องทำการฝึก หรือให้ข้อมูลกับ neural network โดยให้ดูรูปจำนวนเยอะๆ เพื่อความแม่นยำที่มากพอในการใช้งาน ซึ่งจากการใช้ขั้นตอนการทำงานที่ระบุไว้ข้างต้น จะช่วยให้ระบบสามารถจดจำรูปภาพที่ถ่ายจากดาวเทียมได้มากถึง 8,000 กว่าภาพสำหรับ 1 ประเทศ
และจากการทดสอบ เฟสบุ๊คพบว่าความแม่นยำนั้นลดลงเล็กน้อย จากการลองเปลี่ยนไปใช้กับประเทศต่างๆบนโลก
ตอนนี้ เฟสบุ๊คได้ทำการวิเคราะห์ไปถึง 20 กว่าประเทศ ซึ่งกินพื้นที่ไปกว่า 21.6 ล้านตารางกิโลเมตร และกินเนื้อที่ในการจัดเก็บรูปไปถึง 350 TB เลยทีเดียว
สำหรับการประมวลผล 1 ครั้ง จะใช้รูปภาพมากถึง 1.46 หมื่นล้านรูปเลยทีเดียว โดยรัน server พร้อมๆกันเป็นจำนวนพันกว่า server ได้ และผลลัพท์สุดท้ายที่ได้มา คือข้อมูลที่มีความละเอียดสูงระดับทุกๆ 5 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งจะเห็นได้จากรูป 2 รูปข้างบน ซึ่งเป็นรูปของเมือง Naivasha ของประเทศเคนยา
ทางทีมงานของเฟสบุ๊คเริ่มติดตั้งเครื่องมือเพื่อใช้ในโครงการนี้ และทำงานร่วมกันกับทีมนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเชี่ยวชาญในการรับมือกับข้อมูลจำนวนมากๆ และการเรียนรู้เครื่องมือต่างๆ
ข้อมูลที่วิเคราะห์แล้วจะถูกเปิดเผยออกสู่สาธารณะในภายหลัง ซึ่งคาดว่าน่าจะภายในปีนี้ ซึ่งคิดว่าข้อมูลที่กำลังจะวิเคราะห์กันนั้นน่าจะมีผลต่อหลายๆฝ่ายแน่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Application ระบบงาน หรือคนที่จะรอใช้ข้อมูลประชากร หรือแม้แต่การประเมินความเสียงจากภัยธรรมชาติ ซึ่ง Facebook จะทำงานร่วมกับศูนย์เครือข่ายวิทยาศาสตร์นานาชาติของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Center for International Earth Science Information Network ของ Columbia University)
ถ้า Facebook วิเคราะห์ข้อมูลออกมาแล้วได้ข้อมูลที่ความละเอียดสูง ความแม่นยำสูงแบบที่ว่ามาจริง เชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อสิ่งต่างๆในอนาคตข้างหน้าได้อีกเพียบเลย
ยังไงเราคงต้องจับตาดูโครงการนี้และจะคอยอัพเดตให้ทราบถึงความก้าวหน้าของโครงการครับ 🙂
ที่มาของข้อมูล และรูปภาพจาก Facebook