ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เว็บไซต์แนว Clickbait หรือประเภทที่มักล่อให้กดลิงค์เข้าไปดูนั้นโผล่ขึ้นมาเป็นเป็นดอกเห็ด โดยลักษณะของเว็บพวกนี้จะมีการพาดหัวข่าวให้น่าสนใจ แต่เมื่อกดเข้าไปดูแล้วเนื้อหาจริงๆ มีอยู่แค่ประโยคเดียวเป็นต้น ยกตัวอย่างเช่นพาดหัวว่า “ตะลึง! เมื่อชายคนนี้ทำแบบนี้กลางถนน!?” เมื่อกดเข้าไปแล้วพบว่าเป็นแค่ภาพชายคนหนึ่งพาคุณยายข้ามถนนเท่านั้น
โดยปกตินั้นเว็บแนว Clickbait มักจะสร้างขึ้นมาเพื่อล่อให้คนคลิกเข้าไปเพื่อให้ผู้ใช้รับชมโฆษณาเท่านั้น ในขณะที่เนื้อหาบนเว็บไซต์มักเป็นเนื้อหาคุณภาพต่ำ ซึ่งหลายครั้งก็สร้างความหงุดหงิดให้ผู้ใช้ไม่น้อย (เช่นจะให้เปิดเข้ามาทำไม เปลืองสามจี) ซึ่ง Facebook ก็เล็งเห็นปัญหานี้และพยายามออกมาตรการมาแก้ไขครับ
วิธีที่ Facebook เลือกใช้นั้นจะคล้ายกับระบบกรองสแปมครับ ซึ่งระบบจะตรวจสอบข้อความว่ามันเข้าข่ายเป็น Clickbait หรือไม่ โดยจะมีอยู่ 2 ปัจจัยหลักคือ
- หัวข้อเนื้อหากั๊กใจความสำคัญไว้ (เช่น “แทบไม่เชื่อสายตา! เมื่อชายคนนี้หกล้มบนพรมแดง!”)
- หัวข้อเนื้อหาทำให้เข้าใจผิด หรือตื่นตูมเนื้อหาเกินไป (เช่น “ตะลึง! แอปเปิลไม่ดีต่อสุขภาพ!” และคลิกไปพบว่าต้องกินแอปเปิลวันละสามกิโล)
ผลที่ตามมาคือเพจใดที่โพสต์เนื้อหาด้วยหัวข้อที่เข้าข่ายแบบนี้บ่อยๆ จะทำให้ผู้ใช้เห็นโพสต์จากเพจนั้นน้อยลง ซึ่งทาง Facebook แนะนำว่าถ้าไม่ต้องการได้รับผลกระทบจากการปรับ Newsfeed ครั้งนี้ ก็ให้เลิกโพสต์เนื้อหาที่ใช้หัวข้อแบบ Clickbait ครับ
ความเห็นของเรา
Clickbait เป็นอะไรที่น่ารำคาญและน่าหัวเสียมากครับ หลายครั้งที่เปิดลิงค์พวกนี้เข้าไปแล้วพบใจความสำคัญอยู่แค่ประโยคเดียว และเนื้อหาเต็มไปด้วยภาพอะไรก็ไม่รู้ (ซึ่งหลายทีก็เป็นการเอาภาพจากอินสตาแกรมดาราหลายๆ ภาพมาโพสต์ทิ้งไว้เฉยๆ) ซึ่งความรู้สึกตอนนั้นมันรู้สึกว่าเปลืองทั้งเวลาและสามจีเลย ฮ่าๆ
อย่างไรก็ดี ทาง Facebook ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยครับ ก่อนหน้านี้ Facebook ก็พยายามสู้กับ Clickbait โดยอาศัยการคาดเดาคุณภาพเนื้อหามาก่อนแล้ว โดย Facebook จะวัดว่าเมื่อผู้ใช้เปิดลิงค์ออกไปนานเท่าไหร่ ก่อนจะกลับมายัง Facebook อีกครั้ง ซึ่งถ้าใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ก็พอจะอนุมานได้ว่าเนื้อหาเหล่านั้นไม่มีอะไร และมีคุณภาพต่ำ ก็จะลดคะแนนเพจที่โพสต์เนื้อหานั้นบ่อยๆ ลงไป
สำหรับแนวทางใหม่นี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปครับว่าจะลด Clickbait เหล่านี้ได้แค่ไหน
ที่มา – Mashable