หลังจากที่เกม Pokemon GO ได้กลายเป็นเกมฮิตระเบิดทั่วโลกภายในเวลาอันรวดเร็ว ขณะนี้ผ่านมาได้เดือนกว่าๆ มีสถิติเกี่ยวกับปริมาณผู้เล่นเกมในแต่ละวันพบว่า ตอนนี้มีปริมาณผู้เล่นเกมค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ แล้ว
ทาง Bloomberg ได้รายงานข้อมูลจากบริษัทเก็บข้อมูลแอพพลิเคชั่นทั้ง Sensor Tower, SurveyMonkey และ Apptopia ได้ข้อมูลสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า ตอนนี้ Pokemon GO มีปริมาณผู้เล่นเกมในแต่ละวัน, จำนวนการดาวน์โหลด และความสนใจต่อเกมนี้ลดลง
กราฟแรกเป็นข้อมูลของจำนวนผู้เล่นเกมในแต่ละวันจะเห็นได้ว่าในช่วงแรกยอดผู้เล่นเพิ่มอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 16 วันก็มีผู้เล่นต่อวันพุ่งขึ้นไปสูงสุดคือประมาณ 45 ล้านคนต่อวัน จากนั้นปริมาณก็ค่อยๆ ลดลงจนถึงวันที่ 16 สิงหาคมอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านคนต่อวัน และมีแนวโน้มที่จะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนข้อมูลนี้เป็นข้อมูลสถิติด้าน Engagement (จำนวนผู้เล่นรายวัน/ผู้เล่นรายเดือน) นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเปิดให้ดาวน์โหลดกัน จะเห็นว่าระยะแรกมีการลดลดและกระเตื้องขึ้นบ้างตามจังหวะที่มีการเปิดให้เล่นในโซนประเทศเพิ่มเติม จากนั้นพอทาง Niantic หยุดเพิ่มประเทศให้เล่นใหม่ ผ่านไป 1 เดือนจำนวนก็เริ่มลดลงดิ่งลงมาเหลือ 40% จากนั้นก็มีการดีดกลับขึ้นไปเกือบ 100% อีกครั้งเมื่อเริ่มทำการเปิดให้เล่นในประเทศญี่ปุ่นและทวีปเอเซีย แต่ปัจจุบันก็ลดลงมาอีกครั้งแล้ว
ความเห็นจากทีมข่าวล้ำหน้า
ไม่แปลกใจที่จะเห็นกระแสความฮิตของเกมนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะตอนที่มันฮิตก็ถือว่าพุ่งขึ้นเร็วเกินคาดมากๆ ด้วยความที่ตัวเกมนั้นเรียกได้ว่ายังอยู่ในระยะ Beta มากๆ คือยังมีเรื่องบั้ก, ความผิดพลาดในการเล่น, ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและทรัพยากรของเครื่องแบบเกินเหตุ และระบบการเล่นเกมในตอนนี้ถือว่ายังมีอะไรให้ทำไม่มาก เพียงแค่ออกเดินหาโปเกมอนแล้วจับสะสมซ้ำๆ เพื่อพัฒนา จากนั้นก็รวมทีมไปยึดยิม ซึ่งทาง Niantic เองก็บอกว่าตัวเกมในปัจจุบันนี้คือ 10% ของตัวเกมจริงๆ เท่านั้น
นอกจากตัวเกมที่ยังไม่สมบูรณ์ ยังมีปัญหาเรื่องผู้เล่นที่ใช้วิธีโกงต่างๆ ทั้งโปรแกรมช่วยเล่น, เล่นบนคอมพิวเตอร์แล้วโกงตำแหน่ง ฯลฯ ทาง Niantic ก็เร่งที่จะจัดการพวกนี้อยู่ ส่วนตัวผมเองก็คิดว่าสุดท้ายแล้วตัวเกมจะเหลือเฉพาะผู้เล่นที่เล่นแบบเป็นประจำอย่างต่อเนื่องประมาณ 5-10 ล้านคน จากนั้นเมื่อเกมเริ่มเปิดฟีเจอร์ใหม่, เพิ่มกิจกรรมหรือทำแผนพัฒนาเกมตามแต่ภูมิภาค ปริมาณของผู้เล่นก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ที่มา : Bloomberg