ยุคนี้สมัยนี้ใครๆ ต่างก็พยายามนำระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยในชีวิตประจำวันเพื่อให้กิจกรรมต่างๆ นั้นสามารถทำได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ซึ่งตอนนี้เราก็กำลังไปสู่ร้านค้าอัตโนมัติอย่าง Amazon Go ที่จะเปิดให้ทดลองใช้งานกันในอีกไม่นานนี้แล้ว
วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับอีกหนึ่งร้านอัตโนมัติ “Eatsa” ร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดเพื่อสุขภาพ ที่ไม่ต้องมีเด็กเสิร์ฟหรือคนเก็บเงินคอยให้บริการเลย!
Eatsa เป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดเพื่อสุขภาพน้องใหม่ที่มีสาขาอยู่เพียง 5 สาขาเท่านั้น จุดที่ทำให้ร้านนี้ต่างจากร้านอาหารอื่นๆ นั่นคือมันเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด ลูกค้าสามารถสั่งอาหารได้ทั้งจากตู้ Kiosk ภายในร้าน, ผ่านหน้าเว็บ, หรือแม้แต่การสั่งผ่านแอพมือถือ
แม้จะบอกว่าร้านนี้ไม่มีเด็กเสิร์ฟและเด็กเก็บเงิน แต่ภายในร้านก็ยังมีพนักงานคอยยืนให้ความช่วยเหลือลูกค้าอยู่ตลอด (ให้นึกถึงพนักงานโรงหนังที่คอยยืนช่วยลูกค้าซื้อตั๋วจากตู้อัตโนมัติ)
เมื่อลูกค้าจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว อาหารก็จะถูกนำมาเสิร์ฟให้ในตู้กระจกใสภายในร้าน ซึ่งทางร้านจะมีลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ คือเมื่ออาหารกำลังเสิร์ฟ ประตูกระจกจะปิดเป็นสีดำทึบ และมีการเปิดช่องเล็กๆ ให้ลูกค้าดูอาหารในตู้ได้ โดยเมื่ออาหารจัดเสิร์ฟในตู้เสร็จสิ้น ลูกค้าก็สามารถแตะที่ประตูตู้เพื่อเปิดเอาอาหารได้เลย
สำหรับอาหารที่ขายในร้านนั้นจะเป็นอาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพ เช่นสลัด หรือข้าวหน้าผักต่างๆ (สำหรับใครที่ไม่เคร่ง ก็ยังมีเมนูที่เป็นไข่และชีสด้วยเช่นกัน) มีของทานเล่น และเครื่องดื่มเช่นน้ำผักสมุนไพรและน้ำผลไม้ต่างๆ
ดูโดยผิวเผินแล้วร้านลักษณะนี้อาจจะทำให้เกิดคำถามว่าจะทำให้คนได้พูดคุยกันน้อยลงหรือไม่ เพราะเพียงแค่กดๆ จากแอพ จ่ายเงิน แล้วหยิบอาหารไปนั่งทานได้เลย โดยนาย Dean Marsh ผู้จัดการฝั่ง East Coast ของ Eatsa ได้กล่าวว่าในความเป็นจริงแล้ว Eatsa ทำให้คนมีเวลาคุยกันมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะจากเดิมที่ต้องเข้าไปเสียเวลาต่อแถวนานนับสิบนาทีในร้านฟาสต์ฟู๊ดทั่วไป แต่ระบบของ Eatsa นั้นจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าเราจะเหลือพูดคุยกันมากขึ้นนั่นเอง
ความลับอย่างหนึ่งของทางร้านนั่นคือไม่มีใครรู้ว่าข้างหลังตู้เสิร์ฟอาหารนั่นเป็นอย่างไร ไม่มีใคร (อย่างน้อยๆ ก็บรรดาสื่อและลูกค้า) ทราบว่าข้างหลังนั้นใช้คนในการปรุงอาหาร หรือว่าทำอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ทั้งหมด? ซึ่งทางผู้จัดการร้านก็ไม่ได้ชี้แจ้งรายละเอียดเอาไว้ และบอกเพียงแค่ว่า “มันเป็นความลับเหมือนกับพวกคนที่แต่งตัวเป็นมาสค๊อตในดิสนีย์แลนด์นั่นแหละ”
ที่มา – Mashable