มาแล้วๆ กับสมาร์ทโฟนรุ่นที่หลายคนพูดถึง Huawei Mate 9 สมาร์ทโฟนระดับเรือธงที่มาพร้อมกล้องคู่ Leica ที่พัฒนาต่อจาก P9 จะดีขนาดไหน กล้องเจ๋งอย่างที่ใครๆ ร่ำลือกันหรือไม่ ไปชมรีวิวแบบละเอียดยิบจากพี่หลาม กันเลย!!
รีวิว Huawei Mate 9
ก่อนรีวิว ขอออกตัวก่อน…
ผมเองนั้นไม่ค่อยจะทำรีวิวมือถือซักเท่าไหร่ ในรายการล้ำหน้าโชว์ ก็จะเป็นหน้าที่ของปีเตอร์กวงที่เชี่ยวชาญกว่าผมมาก ในโลกออนไลน์ก็มีนักรีวิวมือถือเยอะมาก ดังนั้นก่อนเริ่มรีวิว ต้องขอสารภาพกับผู้อ่านทุกท่านก่อนว่า ผมห่างหายจากการใช้สมาร์ทโฟนที่เป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มานานหลายปีมาก เพราะก่อนหน้านั้นสมัยที่เริ่มใช้แอนดรอยด์ใหม่ๆ ยุคประมาณ Gingerbread 2.3 -2.3.7 ที่มีระบบการทำงานที่ค่อนข้างไม่สมบูรณ์ ชอบอืด ชอบหน่วง ชอบค้าง แรมไม่พอ ทำให้เริ่มเบื่อกับปัญหาเดิมๆของแอนดรอยด์ แล้วก็หันมาใช้สมาร์ทโฟนค่ายผลไม้ เพราะด้วยความที่มันง่าย นิ่ง ไม่จุกจิกกวนใจ
จนกระทั่งยุคหลังๆซัก 1-2 ปีมานี้ สมาร์ทโฟนฝั่งแอนดรอยด์หลายรุ่น เริ่มพัฒนาประสิทธิภาพได้ดีขึ้นมาก แอนดรอยด์เวอร์ชัน 6 กับ 7 ก็ดีและเก่งขึ้นมากจนผมเริ่มหันกลับมามอง…ทีละนิด จนกระทั่งวันนึง ได้มีโอกาสรับเชิญจากทางหัวเว่ยให้ไปงานเปิดตัว Huawei Mate 9 จริงๆผมสนใจมือถือยี่ห้อนี้ตั้งแต่ P9 ,P9 plus ออกมาแล้ว ชอบกล้องคู่ Leica ที่มีคอนเซ็ปในการแยกเลนส์ทั้งสองกล้อง เก็บรายละเอียดภาพที่ต่างกัน ทำให้การถ่ายภาพบนมือถือยกระดับขึ้นอย่างมากมาย ผมนั่งดูงานเปิดตัว Huawei Mate 9 จนจบงาน ผมรีบลุกเดินไปหาฝ่ายพีอาร์ของหัวเว่ยแสดงความจำนงอยากจะขอ Huawei Mate 9 มาทำการรีวิวทันที!!
ด้วยเหตุผลอะไรเหรอ!!
เหตุผลของผมก็คือ ผมรู้สึกว่า Huawei ตั้งใจทำมือถือรุ่น Mate 9 ตัวนี้มากๆ พัฒนาแทบทุกจุด มีของที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่ใน Mate9 นี้ เยอะมาก ถ้าจะแบ่ง คงแบ่งเป็น4เรื่องหลักๆที่ผมสนใจมากๆ คือ
- สเปคใหม่มาก ชิพประมวลผลตัวใหม่ ที่เร็วแรงกว่าเดิม มีเทคโนโลยีใหม่ๆซ่อนอยู่ในนั้นเพียบ ทั้ง กราฟฟิค ทั้งแรม ทั้งรอมที่เร็วกว่าเดิม พอเป็นของใหม่ล่าสุดอย่างนี้ ทำให้มีข้อมูลที่น่าสนใจที่น่าเอามาเขียนมาเล่าให้ฟัง
- กล้อง Leica 2 แค่ Leica รุ่นแรกที่อยู่ใน P9 ก็ว่าเจ๋งแล้ว รุ่นนี้เก่งกว่ารุ่นเดิมขึ้นไปอีกขั้น เห็นแล้วอยากได้เลย…
- ในงานเปิดตัว ผู้บริหารหัวเว่ยได้พูดถึง การพัฒนาให้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ใช้งานไปนานๆแล้วต้องไม่อืด ไม่หน่วง ไม่ทำงานช้าลง ด้วยเทคนิคไฟล์ system แบบใหม่ โอ้ว…น่าสนใจมาก..
- สมาร์ทโฟนยุคใหม่ ต้องจอใหญ่ เครื่องแรง แบตเยอะ ใช้ได้นาน แถมยังต้องชาร์ทเร็วอีกต่างหาก ช่างเป็นความต้องการที่สวนทางกันโดยสิ้นเชิง แต่ Huawei Mate 9 ทำได้.. อ่า..อย่างนี้ต้องลอง
จริงๆ แล้วคิดไปคิดมา สิ่งที่ผมสนใจก็คงจะคล้ายๆ ความต้องการของคนทั่วไปแหละ ทุกคนย่อมอยากได้มือถือสเปคดีๆ ทำงานลื่นๆ แบตอึดๆ ชาร์ทเร็วๆ กล้องถ่ายออกมาสวยๆ แล้วถ้ามือถือเครื่องนั้นใช้ไปนานๆก็ยังไม่อืดไม่ช้าลง มันคงแจ๋วมากเลยใช่มั้ย..เอ้า..เรามาดูรายละเอียดของ Huawei Mate 9 กันครับ
เปิดกล่อง Huawei Mate 9
แค่กล่องก็ขลังแล้ว… แหม่..โลโก้ Leica นี่มันช่างทรงพลังจริงๆ แปะมาบนกล่องทำให้มือถือเครื่องนี้น่าเกรงขามทันที แกะกล่องออกมา เริ่มจากรอบตัวเครื่องภายนอก ตัวเครื่อง Unibody บาง 7.9 มม. กับงานดีไซน์ที่สวยงาม ด้านหลังโค้งนิดๆ จับถนัดมือมากๆ Huawei Mate 9 เป็นมือถือขนาดจอ 5.9 นิ้ว แต่มีความกว้างเท่ากับมือถือ 5.5 นิ้ว เรียกได้ว่า จอใหญ่ แต่ไม่ใหญ่เกินมือ แหม..ความต้องการของคนเราเนี่ย เอาใจยากจริงๆ นะครับ อยากได้มือถือจอใหญ่ๆ เอาใหญ่สุดๆเลย แต่ต้องไม่ใหญ่เกินอุ้งมือนะ เออ..หลายคนคิดอย่างนี้.. แต่ Huawei Mate 9 ทำได้ครับ เทคนิคคือ การขยายพื้นที่หน้าจอให้เต็มบอดี้มากที่สุด ขอบด้านข้างนี่บางมากๆ ชิดขอบกันไปเลย ทำแบบนี้ก็จะได้หน้าจอที่ใหญ่แต่ขนาดไม่ใหญ่จนเกินมือ เมื่อเปิดใช้งานหน้าจอก็สว่างสดใส สีสดกำลังดี เทียบอย่างนี้ สีสดกว่าไอโฟนแต่ไม่จี๊ดเท่าซัมซุง ไม่จัดจ้านจนเกินไป เข้าใจง่ายๆ เลย
สเปค
สเปคผมขออนุญาติลงเฉพาะจุดที่เด่นๆนะครับ เนื่องจากผมไม่ใช่นักรีวิวระดับโปร อยากดูสเปคละเอียดๆเชื่อว่ามีหลายท่านหรือหลายเว็บทำไว้ลองไปดูกันได้ครับ
- หน้าจอ 5.9 นิ้ว IPS LCD ความละเอียด 1920×1080 พิกเซล
- CPU Huawei Kirin 960 Octa-Core แปดแกนสมอง (โดยแบ่งเป็น 4แกน Cortex-A73 2.4 GHz + 4 แกน Cortex A53 1.8GHz)
- รองรับเครือข่าย 4G LTE Cat12 600 M/s
- ชิปประมวลผลภาพกราฟิก Mali G71 MP8
- RAM 4 GB , ROM 64 GB
- กล้องหลัง LEICA Dual Camera ( ตัวที่ 1 ความละเอียด 12 MP ถ่าย RGB ตัวที่ 2 ความละเอียด 20 MP ถ่าย Monochrome รูรับแสง F/2.2 พร้อมกับระบบกันสั่นแบบ OIS แฟลชแบบ Dual-Tone
- กล้องหน้า ความละเอียด 8 MP รูรับแสง F/1.9
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- ใช้พอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ 4000 mAh มาพร้อมกับเทคโนโลยี Huawei SuperCharge
- Android 7.0 Nougat อยู่ภายใต้ EMUI 5.0
เทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่ใน Huawei Mate9
- ความสนุกของการรีวิว Huawei Mate 9 อยู่ตรงนี้ พอซีพียูเป็นรุ่นใหม่ มันเลยมีอะไรให้ค้นข้อมูลใหม่ๆเยอะเลยครับ
- CPU ที่ใช้ใน Huawei Mate9 คือ Hisilicon Kirin 960 ตัวใหม่ล่าสุดซึ่งเป็นชิพที่หัวเว่ยผลิตเอง ผู้บริหารหัวเว่ยในงานเรียกมันว่า “เจ้ากิเลนผยอง” 555 ชื่อน่าเกรงขามดี พูดตามตรง ตอนแรกๆ ที่รู้ข่าวว่าหัวเว่ยผลิตซีพียูเอง แอบมีคิดในใจว่า เน้นประหยัดงบหรือเปล่า ประสิทธิภาพจะสู้เจ้าตลาดอย่าง Qualcomm หรือ Mediatek ได้มั้ย แต่พอเห็นการพัฒนามาเรื่อยๆ เออ..ชักเริ่มมาแรงแล้วแฮะ..
- Kirin 960 มี 8 แกนสมอง โดย 4 แกนแรกเป็น Cortex-A73 2.4 GHz และอีก 4 แกนเป็น Cortex A53 1.8GHz เทคโนโลยีที่บอกว่าใหม่ในชิพตัวนี้คือตัวประมวลผล Cortex-A73 ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้ตัวนี้ แล้วเจ้าCortex-A73 ดียังไง.. มันเป็นแกนของซีพียูตัวใหม่ล่าสุดที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ คือ Cortex-A72 ที่อยู่ใน snapdragon 6xx หรือใน Kirin950 ใน P9 เร็วแรงกว่าเดิมถึง 30% หรือ….ถ้าไปเทียบกับ snapdragon 820 ซึ่งไม่ได้ใช้ cpu แบบ Cortex แต่ไปใช้สถาปัตยกรรม Kyro ของตนเองแทน เจ้าชิพ Kirin 960 ตัวนี้ทำมาเพื่อแข่งกับ Kyro ของ Snap820 โดยตรง โดยทาง Arm บอกว่า A73 มีขนาดcoreที่เล็กกว่า กินไฟน้อยกว่า ความร้อนน้อยกว่า ทีนี้ประสิทธิภาพจะสู้กันได้หรือไม่ ต้องพิสูจน์กันละ
- Mali-G71 MP8 GPU ชิพกราฟฟิคตัวใหม่ล่าสุด ชื่อสถาปัตยกรรม Bifrost จุดเด่นคือ ประมวลกราฟฟิคได้ดีกว่ารุ่นเก่าอย่าง t-880 ที่อยู่ใน P9 , Mate8 หรือ S7 ประสิทธิภาพดีขึ้น40% แต่กินพลังงานน้อยลง 20% ผมหาข้อมูลลงไปเจอเรื่องที่น่าสนใจคือ ชิพตัวนี้ เข้าและถอดรหัสภาพที่ความละเอียดระดับ 2K 2160p เลยทีเดียว (เป็นสเปคที่เผื่อเอาไว้ใช้กับ Mate9 Pro ที่ใช้จอ2K) แต่มาทำงานบนจอ Mate9 ที่ 1080p โอ้โห..ทำงานแค่ครึ่งเดียวเอง วิ่งแบบสบายๆเลย และยังแสดงความถี่กราฟฟิคได้ที่ 120Hz refresh rates ซึ่งเป็นความถี่ที่สูง ทำให้ดูแล้วสบายตา เหมาะสำหรับการเล่นวิดิโอ4K หรือถ้าใช้กับแว่น VR ก็จะช่วยให้เวียนหัวน้อยลง เพราะมีความถี่ของภาพมากขึ้น
- แรม 4GB ถ้าไปดูในสเปคแรม จะเห็นว่า ใช้แรมแบบ LPDDR4 @ 1800MHz
28.8GB/s bandwidth ซึ่งเป็นแรมรุ่นใหม่ ทำงานได้เร็วขึ้น ตอบสนองการใช้งานได้ดีขึ้น จริงๆแล้วแรม DDR4 บนมือถือมีตั้งนานแล้ว แต่เชื่อมั้ยมีมือถือไม่กี่รุ่นที่ใช้แรมรุ่นนี้ ส่วนใหญ่ยัง DDR3 อยู่เลย
- Kirin 960 รองรับเทคโนโลยีโมเด็ม LTE ระดับสูงอย่าง CAT12 หรือ 4CA (carrier aggregation) ที่รับสัญญาณเน็ตเวิร์ค 4G ระดับ 600 Mb/s เมื่อ 4G บ้านเราพัฒนาต่อไปอีก จะแข่งกันที่จำนวน CA ซึ่ง Mate9 ตัวนี้ รองรับรอไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย และยังรองรับเทคโนโลยีเสาอากาศใหม่ๆแบบ 4×4 mimo ที่ช่วยให้ตัวสมาร์ทโฟนติดต่อรับส่งข้อมูลกับสถานีฐานได้เร็วขึ้น
- ข้อดีของการใช้ชิพรุ่นใหม่ๆ มันได้ Memory storage รุ่นที่ประสิทธิภาพสูงกว่าด้วย Kirin 960 รองรับหน่วยความจำในเครื่องแบบ UFS2.1 ที่อ่านและเขียนข้อมูลได้เร็วกว่า ดูจากตารางเปรียบเทียบได้เลย
บางคนอาจจะงงในศัพท์เทคนิค อ่านแล้วไม่เข้าใจโว้ย… 555 เอางี้ .. ผมสรุปให้เข้าใจง่ายๆว่าการมี CPU ตัวใหม่นี้ เร็วขึ้น กินไฟน้อยลง ร้อนน้อยลง และไม่ใช่ซีพียูเร็วขึ้นอย่างเดียว มันเร็วขึ้นทั้งระบบ แรมก็เร็วขึ้น รอมก็เร็วขึ้น กราฟฟิคก็เร็วขึ้น และละเอียดเนียนตากว่าเดิม ประมาณนี้ เข้าใจง่ายกว่ามั้ยครับ..อิอิ
ผู้บริหารบอกว่า เรามีเทคนิคที่ทำให้แอนดรอยด์ไม่อืด!!!!
สโลแกนของ Huawei Mate 9 คือ Born fast Stays fast. ผมได้ยินคำนี้ในงานเปิดตัว รู้สึกตื่นเต้นทันที ฮึ่ย…มีคนพยายามแก้ไขไม่ให้แอนดรอยด์ใช้ไปนานๆ แล้วอืดแล้วโว้ย.. เย้ๆ ทำยังไง ทำให้แอนดรอยไม่อืดได้ยังไงมาดูกัน
ตัวแรก Storage Defragmentation
หลายคนเห็นคำว่า defrag นึกว่า อ๋อ..ระบบจัดเรียงไฟล์ใหม่เหมือนในเครื่องพีซีใช่มั้ย ไม่ใช่ครับ ระบบไฟล์บนมือถือไม่เคยต้องทำการจัดเรียงอยู่แล้ว เหมือนกับที่เราไม่ต้อง defrag บน SSD นั่นแหละ เพราะวิธีการเขียนไฟล์ลงบนเมมโมรี่ที่อยู่นิ่งๆแบบนี้ มันทำได้สะดวกกว่าHDD ที่เป็นจานหมุนกับหัวอ่านครับ มันไม่มีระยะทางใกล้ไกลมาเกี่ยวข้อง แต่ Storage Defragmentation ที่หัวเว่ยนำเสนอ มันคือการเลือกใช้ระบบไฟล์ system แบบ F2FS ย่อมาจาก Flash-Friendly File System แปลตามตัวง่ายๆเลย ไฟล์ระบบที่ทำงานเข้ากับหน่วยความแบบแฟลชได้ดี ระบบนี้ไม่ใช่ของใหม่มีมานานแล้วแต่ใช้บน Linux แต่ก็งงนิดๆว่า ไม่ค่อยมีคนเอามาใช้มาสมาร์ทโฟนเลย ที่เอามาใช้ก็คือ Nexus แทบทุกรุ่น หรือ Samsung รุ่นท้อปๆ โดยระบบไฟล์นี้ มันทำงานสอดคล้องกับหน่วยความจำได้ดี ช่วยลดการอืดของระบบได้
แก้ความอืดต่อด้วยอีก 4 ระบบ
หัวเว่ยนำเอาระบบ machine learning algorithms มาใส่ในโอเอส เพื่อให้สมาร์ทโฟนเรียนรู้การใช้จากผู้ใช้ และนำไปจัดลำดับความสำคัญของคำสั่งเพื่อให้ทำงานตอบสนองเราได้ดีขึ้น โดยถ้ามีหลายๆคำสั่งวิ่งมาพร้อมๆกัน คำสั่งที่เราเคยใช้งานบ่อยที่สุด จะกลายเป็น VIP จะได้ไปก่อน วิธีนี้คล้ายๆกับการทำ QOS (Quality of services) บนระบบเน็ตเวิร์คนั่นเอง
machine learning นอกจากเรียนรู้การใช้งานเพื่อให้คำสั่งไหนสำคัญกว่าแล้ว มันยังทำหน้าที่เป็น Behavior Prediction คือการคาดเดาคำสั่งล่วงหน้า ซึ่งจดจำมาจากการใช้งานครั้งก่อนของเรานั่นเอง เช่น เราเปิดเฟสบุ๊คตอน 8 โมงเช้าทุกวัน พอ 8 โมงเช้าวันถัดไประบบจะเตรียมเฟสบุ๊คมารอคุณไว้เลย.. เร็วมั้ยละทีนี้…
มีอีก.. Dynamical Memory Compression เวลาที่ชุดคำสั่งวิ่งอยู่บนระบบ เพื่อให้คำสั่งที่สำคัญกว่า วิ่งไปได้ก่อน ต้องมีระบบบีบอัดข้อมูลอื่นๆ ให้เล็กลง เพื่อหลีกทางให้คำสั่งด่วนวิ่งแซงไปก่อนได้ เหมือนกับเวลามีรถฉุกเฉินวิ่งมา รถคันอื่นๆจะย่อเป็นคันเล็กลงแล้วจอดข้างทางหลบให้รถฉุกเฉินไปก่อน โอ้โห…ทำได้ขนาดนี้เลย
ปิดท้ายด้วย Realtime Resource Recycling อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้แอนดรอยด์อืดคือ ไฟล์ชั่วคราวที่มันสร้างขึ้นในขณะที่ทำงาน ซึ่งทำให้เราต้องมานั่งทำการ Clean ระบบในเครื่อง เครื่องถึงจะไหลลื่นขึ้นมาได้ แต่คลีนไปซักพักไฟล์เหล่านั้นก็กลับมาอีก แต่ระบบของ Huawei Mate9 จะเคลียร์ไฟล์ขยะเหล่านี้ทิ้งไปแบบเรียลไทม์เลย ทำงานตลอดเวลา ทำให้รอมเครื่องสะอาด โล่งและเบาอยู่เสมอ
ทั้ง 4 ระบบนี้ ทำงานอยู่ภายใต้ EMUI 5.0 ภายในเครื่อง Huawei Mate 9 เท่าที่ผมหาข้อมูลมา ก็รู้สึกว่า เออ..หลักการในการขจัดความอืดของหัวเว่ยก็น่าสนใจดี เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ มันทำงานอยู่เบื้องหลัง มันไม่สามารถไปเปิดดูได้ว่ามันทำงานอยู่ตรงไหน ดังนั้น สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ว่า ระบบนี้เวิร์คจริงๆ คือ การทดลองใช้งาน ผมจะลองใช้งาน Huawei Mate 9 เครื่องนี้ด้วยตัวเองเป็นระยะเวลานานๆ แล้วจะมารายงานผลให้ทราบเป็นระยะนะครับ ว่าเครื่องยังทำงานไหลลื่นดีอยู่หรือเปล่า…
Leica 2 เก่งขึ้น สว่างขึ้น ซูมได้2X
ต่อด้วยเรื่องของกล้องใน Huawei Mate9 นี่คือการพัฒนาต่อเนื่องจาก P9 ที่เริ่มใช้ Dual camera จาก Leica เป็นรุ่นแรก กล้องคู่ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่ HTC M8 แล้ว ก่อนหน้านั้น LG G5 ก็ใช้กล้องคู่ในเวลาใกล้ๆกัน แต่กล้องคู่ Leica ของ Huawei เจ๋งและผู้คนฮือฮาเพราะว่า เทคนิคการใช้กล้องคู่ของเค้าแปลกไม่เหมือนใคร อธิบายให้คนที่ยังไม่ทราบแบบสั้นๆว่า มันคือ การใช้กล้องตัวที่ 1 ถ่ายเฉพาะ โมโนโครม หรือภาพขาวดำ เพื่อเอาแต่โครงสร้างและเส้นขอบของวัตถุ และเฉดดิ้งของความสว่างในภาพ และกล้องตัวที่ 2 ถ่ายเฉพาะค่า RGB ที่เป็นค่าสี แล้วนำเอา 2 อย่างมารวมกันเป็นภาพถ่าย สิ่งที่ได้คือ ภาพถ่ายที่มีความคมชัดสูง ชัดมาก คมมาก เพราะกล้องแต่ละตัวทำหน้าที่เฉพาะอย่างเต็มที่ ผมจำได้ ช่วงที่ P9 ออกมาใหม่ๆ บนโซเชียลฮิตถ่ายภาพขาวดำกันพักใหญ่ๆเลย เพราะP9 ถ่ายภาพขาวดำได้ดีมากๆ และยังใช้ซอฟแวร์ทำภาพชัดตื้น(หน้าชัดหลังเบลอ)ได้สวยงาม เป็นเหตุให้คู่แข่งต้องหันมาใช้กล้องคู่ตามกันมาหลายราย
จนมาถึง Huawei Mate9 กล้องคู่จาก Leica ได้พัฒนาไปอีกขั้น โดยคราวนี้ กล้องทั้ง 2 ตัว มีความละเอียดของเซนเซอร์ที่ไม่เท่ากัน กล้องตัวแรก 20 ล้านพิกเซล ถ่ายโมโนโครม กล้องตัวที่2 12 ล้านพิกเซล ถ่าย RGB พอความละเอียดไม่เท่ากัน สิ่งที่ได้คือ Hybrid Zoom เมื่อเราถ่ายภาพที่ 12 ล้านพิกเซล เราจะสามารถซูม2X ได้โดยที่ภาพไม่แตก ดูภาพประกอบนะครับ
วิธีการคือ..กล้องตัวแรกจะถ่ายภาพด้วยความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ถ้าเรามองว่าภาพ20ล้านคือภาพขนาดใหญ่ เมื่อเรา Crop ภาพให้เล็กลง ก็จะได้ภาพขนาด 12 ล้าน ที่เม็ดพิกเซลเท่าเดิม ไม่ได้ขยายพิกเซลเลย จึงเท่ากับการซูมภาพที่ 2X นั่นเอง ภาพที่ได้จะยังคงคมชัดเหมือนเดิม นี่คือหลักการที่หัวเว่ยนำมาใส่ใน Mate9
ความไวแสงของกล้อง Mate9 เท่าเดิม คือ F2.2 แต่ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิมด้วย เทคโนโลยี Pixel binning ซึ่งเป็นเทคนิค การชาร์ทค่าแสงให้กับพิกเซลข้างเคียง ส่งผลให้แต่ละพิกเซลได้รับแสงสว่างมากขึ้น การถ่ายในที่แสงน้อยจึงได้ภาพที่สว่างสดใสมากขึ้น ถ้าจะพูดไปเทคนิคนี้ก็คล้ายๆกับ dual pixel ในกล้องของ Samsung S7 หรือที่ กล้อง Olympus ใช้อยู่ในเซนเซอร์กล้องมิลเลอร์เลสอยู่ตอนนี้ เทคนิคนี้นอกจากช่วยให้ถ่ายภาพได้สว่างมากขึ้น ยังลด noise ในภาพได้ดีอีกด้วย อีกตัวที่ช่วยคือ OIS (Optical image stablization) ระบบกันสั่น 5แกน ลองนึกภาพดูนะครับ ถ่ายภาพในที่แสงน้อย เปิด F กว้างสุดละ กล้องต้องคำนวนแสงให้พอ สปีดชัตเตอร์ที่ต้องใช้จะต่ำมากเพื่อเปิดให้เซนเซอร์รับแสงให้พอ จนเราถือถ่ายด้วยมือไม่ไหวภาพจะออกมาเบลอ แต่กันสั่น 5 แกนจะช่วยให้เราถ่ายภาพที่สปีดต่ำๆได้ โดยที่ภาพออกมาคมชัด ภาพที่ได้ก็จะสว่างมากขึ้น โดยที่ F เท่าเดิม เหมือนที่กล้อง DSLR หรือกล้องถ่ายภาพทั่วไป พอเลนส์ระยะซูมมากๆ ถ้าไม่มีกันสั่น ค่าคำนวนสปีดจะต่ำจนถ่ายไม่ไหว แต่พอมีกันสั่น ภาพก็จะสว่างขึ้นนั่นเอง
จุดเด่นของ Leica Gen 2 คือเทคโนโลยีการโฟกัสภาพ ที่มีถึง 4 ระบบ เรียกว่า 4-in-1 Hybrid Autofocus ที่มีใช้อยู่ใน P9 คือ โฟกัสแบบ Phase Detection พอมาถึง Mate9 เพิ่ม Laser Focus เล็งเป้าได้อย่างรวดเร็ว , Depth Focus แยกความใกล้ไกลของวัตถุในภาพ และ Contrast Focus ที่แยกวัตถุจากเส้นขอบ รวมเป็นสี่ระบบ ที่จะช่วยให้การโฟกัสภาพนั้นแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น
พอมีข้อมูลในภาพมากพอทั้งจากเลนส์ทั้งสองตัว และชุดโฟกัส4ระบบ ทำให้ฟังก์ชัน Wide Aperture หรือถ่ายก่อนปรับทีหลังใน Huawei Mate9 นั้นเก่งขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย ภาพชัดตื้นหรือหน้าชัดหลังเบลอทำได้สวยงามสมจริงดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น bokeh effect ก็ทำออกมาได้สวยงาม เหมือนโบเก้ที่ได้จากชิ้นกระจกเลนส์จริงๆ
เรื่องของการถ่ายวิดีโอ Huawei Mate9 เพิ่มความสามารถมา ให้ถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 4K ได้แล้ว ระบบกันสั่น 5 แกน ช่วยให้วิดีโอที่ถ่ายดูนิ่งยิ่งขึ้น ทำ Slow motion ได้ถึง 240 Fps ที่ความละเอียด 720p จุดที่น่าสนใจของการถ่ายวิดีโอบน Huawei Mate9 คือ ไฟล์วิดีโอจะเป็น MP4 codec ใหม่ล่าสุด H.265 (จากเดิมที่เราคุ้นเคยคือ H.264) codec หรือชุดเข้ารหัสใหม่นี้ ภาพที่ได้จะมีรายละเอียดที่ดีกว่าเดิมในขณะที่ขนาดไฟล์จะเล็กลง 20-50% เพราะบีบอัดได้มากขึ้น คนที่ชอบถ่ายวิดีโอ4K น่าจะชอบจุดนี้เพราะไฟล์กินพื้นที่น้อยลงกว่าเดิม แต่น่าเสียดายที่ Youtube ไม่ซัพพอร์ตไฟล์แบบ H.265 จึงไม่สามารถเอาตัวอย่างภาพมาให้ดูได้
จบจากกล้องหลัง มาที่กล้องหน้า Huawei Mate9 ใช้กล้องหน้าขนาด 8 ล้านพิกเซล ความละเอียดเท่าเดิมจาก P9 แต่ตัวนี้ รูรับแสงกว้างถึง F1.9 ทำให้ถ่ายเซลฟี่ได้สว่างสดใสกว่าเดิม แถมภาพที่จะได้จะเป็นหน้าชัดหลังเบลอนิดๆ คนถ่ายจะเด่นขึ้นกว่าเดิม ดูภาพถ่ายเซลฟี่หน้าผมสิ คมชัดสว่างสดใส หน้าเด็กกว่าเดิมเกือบ 10 ปี โอ้ย…อยากบอกว่ากล้องหน้าสุดยอดมาก
ระบบ ปฏิบัติการ เป็น Android 7.0 Nougat ที่ครอบทับด้วย EMUI 5.0 ไม่ใช่แค่เปลี่ยน ui ให้สวยขึ้นเฉยๆนะ แต่มีฟังก์ชันการทำงานเสริมอยู่ในนั้นเยอะเลย อย่างภาพตัวอย่าง เราเลือกหน้าโฮมสกรีนได้ว่าจะเอาแบบมี app drawer หรือไม่ แต่สิ่งที่หลายคนชอบคือ การมี private space เพื่อลงแอพ Facebook และ WhatsApp ได้ถึง 2 แอคเค้าท์ในเครื่องเดียวกัน ซึ่งผมไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้อะไรแบบนั้น เลยไม่รู้ว่ามันดียังไง 555
มาถึง แบตเตอรี่ Huawei Mate 9 ให้แบตมา 4000 mAh พร้อมระบบ Huawei supercharge ฟังก์ชันการชาร์ทเร็ว ใช้เวลาชาร์ทแค่ 20 นาที ใช้งานได้นาน 1 วันเลย ชาร์ทเร็วขนาดนี้เพราะเค้าใช้เทคนิคการอัดไฟเข้าเครื่อง ผ่านพอร์ต USB-C ด้วยกำลังสูงถึง 5A อ่านถึงตรงนี้ หลายคนร้องโอ้..อัดไฟแรงขนาดนี้ เครื่องไม่ร้อนหรือมีอันตรายเหรอ ยิ่งมีข่าวยี่ห้ออื่นระเบิดตู้มต้ามอยู่ หัวเว่ยบอกว่า ในระบบ Huawei supercharge มี SCP Smart Charge Protocol ที่เป็นชิพควบคุมกำลังไฟในเหมาะสมในการชาร์จ แรงดันไฟจะถูกควบคุมให้สม่ำเสมอที่ 5A แต่ Voltage ของการชาร์ทจะเปลี่ยนไปตามสภาพ ตั้งแต่ 3.8V – 4.5V ไม่เหมือนระบบชาร์ทเร็วทั่วไปที่ใช้ Voltage คงที่ที่ 9V ซึ่งจะทำให้ตัวเครื่องร้อน แถมยังมี layer ของการระบายความร้อนถึง 8 ชั้น ดังนั้น Huawei Mate 9 จึงชาร์ทเร็ว แต่เครื่องไม่ร้อน นอกจากนี้ ยังเพิ่มปลอดภัย ในการชาร์ท ด้วยการออกแบบให้มีเกทป้องกันไฟเกินมากถึง 5 จุด มั่นใจได้ว่า ระบบชาร์ทเร็วของ Huawei Mate 9 นั้นมีความปลอดภัยสูงอย่างแน่นอน
ปิดท้ายด้วยราคา Huawei Mate 9 เปิดราคามาที่ 23900 บาท มี 2 สี คือ Champagne Gold และ Mocha Brown ล่าสุดวันที่ 1 มกราคม ปีใหม่ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดจอง Huawei Mate 9 Pro จอโค้ง 5 นิ้ว แรม 6GB รอม 128GB ราคา 27,900 บาท มีให้เลือก 2 สี คือ Haze Gold และ Titanium Grey และจะมี Huawei Mate 9 Porsche Design ตัวจี๊ด รอม 256 GB กับดีไซน์ตัวเครื่องระดับ Porsche Design ที่มีแค่ 800 เครื่องในไทยเท่านั้น ราคา 49,900 บาท
ความรู้สึกหลังการใช้งาน Huawei Mate9
- หน้าจอใหญ่ เต็มตาดี รูปทรงถือถนัดมือดี ฝาหลังโค้งนิดๆจับกระชับมือ
- ความเร็วในการทำงาน ลื่นไหลดีมากๆ กดตรงไหน จิ้มตรงไหนเป็นมา เร็วปรื๊ดๆเลย
- กล้อง leica 2 ถ่ายรูปได้คมดีจริงๆ สังเกตจากเส้นขอบของวัตถุในภาพที่คมชัดมากๆ อันนี้เป็นจุดเด่นที่หาคู่แข่งมาโค่นได้ยาก เพราะตราบใดที่คนอื่นยังถ่ายภาพด้วยวิธีการเดิมๆ สู้สองกล้องแยกสีกับขาวดำแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ เรื่องการถ่ายภาพขาวดำทำได้สุดยอดเลย ไล่เฉดไล่โทนสว่างมืดในภาพขาวดำได้ละเอียดจริงๆ การถ่ายวัตถุใกล้ๆแบบหน้าชัดหลังเบลอ ปรับค่าความตื้นของระยะเป็นตัวเลขรูรับแสง ตั้งแต่ 09.5 -16 ให้ความรู้สึกเหมือนมันชัดตื้นจากการปรับ F-Stop จริงๆ ดูรูปตัวอย่างได้ตอนท้ายนะครับ
- กล้องหน้า สว่างขึ้นเยอะ ถ่ายในบ้านแบบแสงมืดๆยังสว่างสดใส เป็นมือถือที่เหมาะสำหรับคนมีอายุมากๆครับ เพราะเซลฟีออกมาแล้วดูเด็กขึ้นหลายปีเลย 555
- แบต อึดจริงๆ ชาร์ทเร็วมาก ผมลองชาร์ทที่ 34% จับเวลา 20นาที ได้แบตมา 74% ถือว่าเร็วมาก ตอนชาร์ทไม่ร้อนจริงๆด้วย ตอนใช้งานปกติก็ไม่ร้อน แต่จะร้อนตอนเปิดกล้องนานๆ หรือถ่ายวิดีโอ4K จะร้อนนิดนึง
- เหลือเรื่องเดียว คือ เรื่องระบบป้องกันการอืดของระบบ อันนี้ยังมีเวลาไม่มากพอ ต้องพิสูจน์กันยาวนานกว่านี้
ปิดท้าย มีเป็นคลิป ที่รีวิว Huawei Mate9 โดย ปีเตอร์กวง ให้ดูด้วยครับ
ต่อด้วยภาพถ่ายที่ได้จาก Huawei Mate9 ครับ ทุกภาพเป็นต้นฉบับ ไม่ได้ตกแต่ง ไม่ได้ resize แต่อย่างใด
ซูมภาพ 2x ความละเอียดของภาพ ความคมชัดยังดีเหมือนเดิม
ภาพแนว Close up หรือ ชัดตื้น ทำได้ดีมาก ฉากหลังเบลอแบบไล่ระดับมีใกล้มีไกล
ภาพแนวทั่วไป คมชัด สว่างใสดีมาก เฉลี่ยแสงทั้งภาพได้ดี ทั้งส่วนมืดและส่วนสว่าง
ปิดท้ายด้วยภาพขาวดำ ที่ทำได้ดีกว่ากล้องมือถือทุกตัว ไล่เฉดความเข้มความสว่างของภาพได้ดีมากๆ สุดยอดครับ
เนื่องจากบทความนี้ต้องเร่งให้ขึ้นเร็วที่สุด ผมจึงมีเวลาจับเครื่องน้อยมาก แต่สัญญาว่าจากนี้จะใช้งานไปเรื่อยและจะนำความรู้สึกที่ได้มาบอกเล่าอีกทีครับว่าชอบหรือไม่ชอบตรงไหนบ้าง ที่สำคัญคือ เราต้องพิสูจน์กันยาวๆว่าระบบที่ทำให้เครื่องไม่อืดเมื่อใช้ไปนานๆจะเป็นอย่างไร แล้วจะมารายงานให้ทราบนะครับ ขอบคุณครับ (จบซะที ยาวมากกกก)–