ในยุคที่ใครๆ ก็ใช้โทรศัพท์มือถือ และมีระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ครอบครองตลาด บรรดามัลแวร์ต่างๆ รวมไปถึงแรนซัมแวร์ก็เริ่มมุ่งหมายมาโจมตีระบบปฏิบัติการบนมือถือกันมากขึ้น
จากรายงานของ ESET บริษัทด้านความปลอดภัยชื่อดัง ระบุว่าในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา พบว่าแรนซัมแวร์หันมาโจมตีระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มากขึ้นถึง 50% ซึ่งมีทั้งการโจมตีโทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงอุปกรณ์แอนดรอยด์อื่นๆ เช่นสมาร์ททีวี
ในรายงานระบุว่าหนึ่งในช่วงที่มีการโจมตีหนักที่สุดคือช่วงครึ่งแรกของปี 2016 โดยแรนซัมแวร์ในกลุ่ม “police ransomware” ที่มักจะแฝงมากับแอพดูวิดีโอโป๊ต่างๆ โดยจะขึ้นเป็นหน้าจอแจ้งเตือนว่าถูกตรวจพบโดยตำรวจ และให้จ่ายค่ายอมความเป็นเงินจำนวนต่างๆ เช่น 300 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณหนึ่งหมื่นบาท) นอกจากนี้ยังพบว่ามีแรนซัมแวร์ลักษณะเดียวกันนี้ติดไปยังสมาร์ททีวีด้วยเช่นกัน
นอกจากการแพร่กระจายที่มากขึ้นแล้ว ก็ยังพบอีกว่าแรนซัมแวร์เปลี่ยนไปเน้นโจมตีผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกามากขึ้น จากเดิมที่เน้นโจมตีผู้ใช้ในยุโรปตะวันออก เนื่องจากพบว่าผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกานั้นค่อนข้างร่ำรวยกว่า และมีอัตราการจ่ายค่าไถ่มากกว่านั่นเอง
ทางด้านแรนซัมแวร์เองก็พบว่ามีการพัฒนามากขึ้น โดยมีการเข้ารหัสตัวแรนซัมแวร์และฝังเอาไว้ในแอพที่เป็นตัวแพร่กระจายเพื่อหลบการตรวจสอบ
ESET แนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอพจากสโตร์ภายนอก รวมทั้งให้หมั่นอัพเดทซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยบนโทรศัพท์อยู่เสมอ
อ้างอิง – Neowin
ภาพหัวข่าวจาก PC Magazine
ความเห็นของเรา
ในช่วงแรกที่สมาร์ทโฟนบูมขึ้นมา ผู้ใช้หลายคนรู้สึกโล่งใจที่จะได้หนีจากไวรัสและมัลแวร์ที่มีมากมายมหาศาลมาอยู่บนโทรศัพท์ที่ปลอดภัยกว่า (ณ เวลานั่น) แทน หากแต่เมื่อจำนวนผู้ใช้เติบโตมากขึ้น แฮ็กเกอร์เริ่มสนใจที่จะโจมตีมากขึ้น ทำให้สมาร์ทโฟนก็ไม่ใช่แพลทฟอร์มที่ปลอดภัยอีกต่อไป
ดังนั้นในที่สุดแล้วก็ย้อนกลับมาที่ผู้ใช้เอง ที่ต้องพึงระวังภัยอันตรายเหล่านี้เอาไว้เสมอ ไม่ว่าจะใช้งานแพลตฟอร์มใดก็ตาม