ชื่อของ Fitbit นั้นถือว่าเป็นแนวหน้าของกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภท Fitness Tracker ที่มีการพัฒนาสินค้าใหม่ออกมากอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทำตัวอุปกรณ์ออกมาหลากหลายให้เลือกได้ตามแต่รูปแบบความต้องการของผู้ใช้ สำหรับตัวที่เรามารีวิวนี้คือ Fitbit Flex 2 ที่มีความแตกต่างจากรุ่นอื่นของ Fitbit พอสมควร คือมันมีขนาดที่เล็กมาก แถมยังออกแบบมาให้ดูเหมือนเป็นเครื่องประดับมากกว่าอุปกรณ์ gadget เพราะว่า Flex 2 นั้นเน้นสำหรับกลุ่มผู้ใช้ที่ไลฟ์สไตล์ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นหลัก ไม่ได้จริงจังกับข้อมูลการเล่นกีฬาระดับลงลึก
Unbox
แกะกล่องตัว Fitbit Flex 2 ออกมา จะพบกับตัวเครื่องที่ยัดมาอยู่ในสายแบบซิลิโคน จะสังเกตเห็นว่าในกล่องมีสายมาให้ 2 ขนาดคือขนาดเล็ก (S) และขนาดใหญ่ (L) ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องขนาดแขนของผู้ใช้ ใส่ได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่จากที่ได้ลองส่วนตัวเป็นคนที่ใส่ไซส์ L มาตลอด แต่กับ Flex 2 ยังสามารถใส่ไซส์ S ในรูสุดท้ายได้อยู่ ตัวหมุดสำหรับล็อคสายเป็นแบบ 2 จุดค่อนข้างแน่นหนาไม่ต้องกลัวหลุด
แกะตัว Core ของ Flex 2 ออกมาดูจะเห็นได้ว่ามีขนาดที่ค่อนข้างเล็กและน้ำหนักเบา โดยมีขนาดเพียงแค่ 31.7 x 8.9 x 6.8 มิลลิเมตร และน้ำหนักราว 23.5 กรัม ในชุดจะมีตัวชาร์จเจอร์สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ เพียงแค่เอาตัว Core นี้ยัดกับที่ชาร์จ (ให้ตัวปุ่มทองแดงตรงด้าน) แล้วเสียบชาร์จกับช่อง USB ทั่วไปได้เลย แบตเตอรี่การใช้งานนั้น ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานเฉลี่ย 4-5 วัน (ขึ้นอยู่กับปริมาณการเคลื่อนไหวและออกกำลังกายของผู้ใช้) ส่วนการชาร์จจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็เต็ม
Fitbit ออกแบบ Flex 2 ให้มีขนาดเล็กและสามารถถอดเปลี่ยนสายได้ง่าย และมีสายให้เลือกใช้ได้หลากหลายสี และยังมีที่เป็นแบบโลหะเหมือนกำไลเครื่องประดับและจี้ห้อยคอได้ เพื่อที่จะได้สามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส
อุปกรณ์ในกล่องจะมีตัว Core ของ Flex 2, สายชาร์จ, สายรัดข้อมือ 2 ขนาด (S และ L) และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น
ตัว Core จะสอดอยู่ด้านในตัวสายซิลิโคน สามารถแกะออกมาได้ไม่ยาก
ตัวแท่นชาร์จเอา Core ยัดใส่ แล้วนำไปเสียบชาร์จกับพอร์ตแบบ USB ปกติทั่วไปได้เลย
ตัวสายออกแบบให้มีลวดลายสวยงาม มีจุดแสดงสัญญาณไฟ LED 5 จุด เพื่อบอกสถานะและแจ้งเตือนการทำงาน
ด้านตัวล็อคสายเป็นโลหะที่เป็นแบบ 2 จุด ยึดติดค่อนข้างแน่น ที่สายจะมีชื่อของ Fitbit อยู่ด้วย
การทำงานและคุณสมบัติของ Fitbit Flex 2
เห็นว่าตัวเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ด้านในนั้นมีเซนเซอร์แบบ accelerometer ที่เอาไว้สำหรับจับข้อมูลการเคลื่อนไหวระหว่างที่สวมใส่ เพื่อนำไปประมวลผลไม่ว่าตอนเดิน, นั่ง, ออกกำลังกาย หรือว่านอนหลับ โดยที่มันจะทำงานคู่กับแอพ Fitbit ในสมาร์ทโฟน (ให้ดาวน์โหลดทั้งใน iOS, Android และ Windows) เมื่อทำการเปิดใช้งานแอพ สร้าง User ผู้ใช้ แล้วทำการเชื่อมต่อ Flex 2 กับสมาร์ทโฟน
ในตัวแอพ Fitbit เราจะต้องทำการใส่ข้อมูลส่วนตัวของเรา ทั้งน้ำหนัก ส่วนสูง อายุ เพศ เพื่อให้ระบบใช้อ้างอิงในการประมวลผลการออกกำลังกายแต่ละวัน โดยที่ Fitbit Flex 2 จะสามารถวิเคราะห์ค่าของผู้ใช้ต่างๆ ดังนี้
นับจำนวนก้าวเดินในแต่ละวัน เราสามารถตั้งเป้าหมายในการเดินในแต่ละวันได้ว่าจะเดินมากน้อยแค่ไหน โดยค่ามาตรฐานหลักที่มีการวิจัยมาแล้วว่ามีผลดีต่อสุขภาพของคนเราอยู่ที่ 10,000 ก้าวต่อวัน โดยจะมีประเมินระยะทางที่เดินจากจำนวนก้าวให้ด้วย
แคลลอรี่ที่เผาผลาญได้ในแต่ละวัน โดยจะคำนวนจากการเผาผลาญพลังงานตามปกติรวมกับการออกกำลังกายในแต่ละวัน ให้เราเห็นได้ว่าการออกกำลังกายของเราช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากน้อยแค่ไหน
Active Time เราสามารถตั้งได้ว่าในแต่ละวันจะตรวจนับว่าเรามีการเคลื่อนไหวมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะนับจากกิจกรรมที่เราเดิน, วิ่ง หรือออกกำลังกายต่อเนื่องในแต่ละช่วงเวลาแต่ละวัน จากการวิจัยเพียงแค่เราออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้
นับชั่วโมงการยืนโดยจะให้กำหนดในช่วงเวลาระหว่างวันที่ทำงาน หลักการของระบบนี้คือต้องการให้เรามีการลุกขึ้นยืนเพื่อเคลื่อนไหวทุกๆ ชั่วโมง ไม่ต้องการให้เรานั่งเฉยๆ เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหลังหรือออฟฟิศซินโดรม สามารถตั้งให้ Flex 2 สั่นเตือนได้เวลาที่นั่งนานเกิน 1 ชั่วโมง
การนอน สำหรับ Fitbit แล้วมีการศึกษาและพัฒนาระบบการตรวจจับเวลาการนอนได้ค่อนข้างแม่นยำมาก เพียงแค่เราสวมเอาไว้เวลาที่นอน ระบบจะตรวจจับได้ว่าการนอนของเราอยู่ในระดับคุณภาพใดบ้าง มีช่วงที่หลับลึก, หลับตื้น หรือว่าตื่นระหว่างที่หลับเท่าไร โดยจะเก็บค่าแล้วเอามาประเมินว่าเราพักผ่อนได้เพียงพอหรือยังในแต่ละวัน
ถ้าหากว่าเราไม่ต้องการตั้งให้ระบบทำการ SYNC ข้อมูลอัตโนมัติ ในตัวของ Flex 2 จะมีหน่วยความจำที่สามารถเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวแต่ละวันอย่างละเอียดได้ 7 วัน และเก็บข้อมูลสรุปในแต่ละวันได้นาน 30 วัน เมื่อทำการเปิดแอพในสมาร์ทโฟนก็จะทำการชิงค์ข้อมูลให้ทันที
การแจ้งเตือนด้วยการสั่นและสัญญาณไฟ LED
ถึงแม้ว่า Fitbit Flex 2 จะไม่มีหน้าจอ แต่ว่าก็ยังทำหน้าที่แจ้งเตือนได้ โดยใช้วิธีสั่นและกระพริบสัญญาณไฟ ที่มีอยู่ 5 ดวง เพื่อบอกสถานะต่างๆ ให้ผู้ใช้ทราบ อาทิ มีการสั่นเตือนเมื่อเรานั่งทำงานเป็นเวลาเกิน 1 ชั่วโมง, สั่นเตือนบอกเวลาที่มีสายโทรเข้า, SMS หรือตารางนัดหมาย
Fitbit Flex 2 กับการเล่นกีฬาและออกกำลังกาย
Fitbit มีระบบที่เรียกว่า SmartTrack ทำหน้าที่เก็บข้อมูลการกิจกรรมออกกำลังกายให้อัตโนมัติ เมื่อเรามีการออกกำลังกาย อาทิ เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเล่นฟิตเนส ต่อเนื่องนานเกิน 15 นาที ระบบจะสร้าง Log กิจกรรมนั้นให้ทันที พร้อมเก็บค่าการเคลื่อนไหวและแคลลอรี่ที่เผาผลาญระหว่างเล่นกิจกรรมนั้นให้ทันที
นอกจากนี้ Fitbit Flex 2 ยังสามารถกันน้ำได้ และใช้ใส่ว่ายน้ำได้ โดยที่ระบบ SmartTrack ก็ช่วยเก็บข้อมูลได้เช่นกันว่าคุณว่ายน้ำเป็นระยะทางเท่าใด, ความเร็วในการว่าย และประเมินแคลลอรี่ให้ด้วย แต่ว่าการกันน้ำนี้เฉพาะสำหรับการว่ายน้ำเท่านั้น ไม่รวมถึงการดำน้ำ และแนะนำให้หลีกเลี่ยงการสวมลงในสระที่มีอุณหภูมิสูงหรือซาวน่า
ประสบการณ์หลังจากลองใช้งาน
เมื่อสวมใส่แล้วจะรู้สึกได้เลยว่ามันเบามากๆ ตัวสายเป็นซิลิโคนที่ดูผ่านๆ แล้วเหมือน Wristband หรือกำไลข้อมือทั่วๆ ไป และด้วยความที่มันไม่ได้มีเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบแสง ทำให้เวลาใส่ไม่จำเป็นจะต้องรัดแน่นให้กระชับกับข้อมือ ใส่แบบหลวมๆ ก็ยังได้ เวลาที่ใส่ตอนนอนก็ไม่รู้สึกรำคาญเหมือนกับพวกนาฬิกาสมาร์ทวอทช์หรือแทร็กเกอร์รุ่นอื่นๆ ที่มีหนักและใหญ่กว่า
คราวนี้พอมันสามารถกันน้ำได้ ก็เลยสามารถใส่อาบน้ำได้ไม่มีปัญหา แต่ส่วนตัวจะถอดออกเพราะว่าถ้าเปียกน้ำแล้วก็ต้องแกะออกมาเช็ดให้แห้ง เพราะน้ำอาจจะมีขังอยู่ในตัว Core ด้านในสาย อีกทั้งความอับชื้นที่สวมมาทั้งวัน แนะนำว่าเวลาที่ถอดเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ ให้เอาสายซิลิโคนล้างด้วยน้ำสบู่แล้วซับให้แห้งเพื่อเป็นการทำความสะอาด เพราะบางครั้งการใส่ต่อเนื่องแล้วไม่ถอดออกมาเช็ดล้าง อาจจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่สวมใส่มีการระคายเคืองได้
การใช้งานถือว่าแบตเตอรี่อยู่ได้ 4-5 วันตามสเปคที่บอกไว้จริง และก็เสียบชาร์จชั่วโมงกว่าๆ ก็เต็ม ความแม่นยำในการนับก้าวถือว่าโอเค ไม่มีการนับมั่วเวลาที่นั่งขยับมือเวลานั่งทำงานหน้าคอมหรือว่านั่งรถ ในระหว่างวัน เราสามารถเคาะ 2 ครั้งที่ตัว Flex 2 เพื่อเช็คว่าเราเดินได้ใกล้ครบเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้แล้วหรือยัง (แสดงผลเป็นจำนวนไฟ LED) ส่วนระบบบันทึกกิจกรรม SmartTrack ค่อนข้างฉลาดคือรู้ได้ว่าเราเดิน, วิ่ง หรือปั่นจักรยาน จะช่วยบันทึกแล้วเอาไว้ดูเวลาย้อนหลังได้ ส่วนระบบสั่นแจ้งเตือนเป็นการสั่นแบบไม่รุนแรงมากจนสะดุ้งตกใจ ไฟแจ้งเตือนแบบ LED นอกจากเอาไว้เตือนแล้ว
ระบบ track การนอนทำได้ดี มีบอกครบทุกจังหวะการนอนว่าหลับสนิทแค่ไหน การตรวจจำทำให้อัตโนมัติไม่จำเป็นต้องกดบันทึกก่อนนอนหรือตื่นมากดเพื่อบันทึก แถมถ้ามีการหลับแบบงีบระหว่างวันนี่ก็มีบันทึกให้ได้อีกด้วย
Fitbit Flex 2 เหมาะสำหรับใคร?
เชื่อว่าคนที่เป็นแนวหนุ่มสาวออฟฟิศ ใช้ชีวิตในเมือง ที่มีไลฟ์สไตล์ไม่ได้เน้นเล่นกีฬามากนัก น่าจะเหมาะสำหรับ Fitbit Flex 2 ด้วยความสามารถด้านพื้นฐานเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลความเคลื่อนไหวในแต่ละวันได้อย่างครบถ้วนและค่อนข้างแม่นยำ ทั้งจำนวนก้าวเดิน, แคลลอรี่, การนอน รวมถึงการสั่นแจ้งเตือนเวลาที่นั่งทำงานนานๆ เพื่อให้เราลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสาย ช่วยป้องกันปัญหาอาการออฟฟิศซินโดรมที่เกิดจากการนั่งทำงานหน้าคอมเป็นเวลานานๆ
แต่ถ้าใครเป็นแนวจริงจังกับการออกกำลังกายอาจจะมีขัดใจบ้างเพราะว่า Flex 2 เก็บได้เฉพาะระดับพื้นฐาน ไม่มี Heart rate Sensor สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ไม่มี GPS ในตัวสำหรับบันทึกกิจกรรมเส้นทางเวลาออกกำลังกายวิ่งหรือปั่นจักรยาน ซึ่งถ้าใครต้องการระดับนั้นแนะนำรุ่นที่สูงกว่าอย่าง Fitbit Alta HR, Charge 2, Blaze หรือ Surge แทนจะดีกว่า
จุดที่น่าสนใจอีกอย่างของ Fitbit Flex 2 ก็คือการออกแบบที่เหมาะสำหรับคนไม่อยากสวมอุปกรณ์ที่ดุเป็น Gadget เพราะอันนี้ทำออกมาดูเรียบสวยใส่ง่าย แถมยังมีสายให้เลือกเปลี่ยนได้หลายสีหลายแบบ เชื่อว่าจะเหมาะสำหรับสาวๆ มากกว่าผู้ชาย
ราคาและการจำหน่าย
Fitbit Flex 2 ตอนนี้มีวางจำหน่ายแล้วในหลากหลายช่องทางทั้งร้านค้าตัวแทนจำหน่าย และช่องทางออนไลน์ ราคา 4,490 บาท มีให้เลือก 4 สีคือ สีดำ สีลาเวนเดอร์ สีมาเจนต้า หรือสีกรมท่า และสำหรับใครที่อยากซื้อสายเพิ่ม Fitbit ก็มีทำสายขายเพิ่มแบบแพ็ค 3 สี ให้เลือก 2 แพ็คด้วยกันคือ แบบ Sport (Teal, Navy Blue และ Yellow) และแบบ Pink (สีชมพู, สีลาเวนเดอร์ และสีมาเจนต้า) ราคาแพ็คละ 1,290 บาท และยังมีแบบกำไลวัสดุเป็นโลหะ สีเงิน ราคา 3,590 บาท สีโรสโกลด์ 3,990 บาท และแบบจี้ห้อยคอ สีเงิน 3,190 บาท สีทองราคา 3,990 บาท