เปิดตัวไปเรียบร้อยแล้วกับสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นส่งท้ายปีของหัวเว่ย กับ Huawei Mate 10 Series ที่มาทีเดียว 3 รุ่นเลย คือ Mate 10, Mate 10 Pro และ Mate 10 Porsche Design ทีมข่าวล้ำหน้าโชว์ จะมาวิเคราะห์ จากข้อมูลที่เปิดตัว พร้อมทั้งความบอกเล่าและการป้ายยาจาก อ.ศุภเดช ผู้ซึ่งบินไปร่วมงานเปิดตัวและสัมผัสของจริงที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน ว่า Huawei Mate 10 Pro น่าซื้อไหม และมีดีอะไรที่ต้องรู้กันบ้าง
1.หน้าจอ 6 นิ้ว OLED สัดส่วน 18:9
มาในสัดส่วนยอดฮิตของพ.ศ.นี้ ด้วย ratio 18:9 แบบ FullView ที่ยาวขึ้น ช่วยให้เวลาเล่นเฟซ เล่นอินเทอร์เน็ต อ่านไทม์ไลน์ต่างๆ ได้มากขึ้น แถมยังใช้งานแบบ 2 แอพแบ่งหน้าจอได้พื้นที่การใช้งานเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ในรุ่น Pro ขนาดใหญ่ 6 นิ้ว พาเนลเป็น OLED คอนทราสต์ 70000:1 สีสันอยู่ในระดับ Color saturation NTSC 112% พร้อมทั้งรองรับ HDR อีกด้วย
แต่ว่าความละเอียดนั้น อยู่ที่ FHD+ (2160 x 1080 พิกเซล) น้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Galaxy Note8 ที่เป็น QHD+ ซึ่งในความจริงกับขนาดหน้าจอ 6 นิ้วที่ระดับ FHD+ ก็ถือว่าคมชัดอยู่ เข้าใจว่าหัวเว่ยเลือกความละเอียดเท่านี้ เพื่อเลือกให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานมากกว่า
2.กล้องคู่ Leica รูรับแสง f/1.6
กล้องของหัวเว่ยยังคงพัฒนาร่วมกับ Leica แบรนด์กล้องระดับตำนานของเยอรมันมาอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้ถือว่าเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ของเทคโนโลยีกล้องคู่บนสมาร์ทโฟน ที่ก้าวไปอีกขั้น ด้วยเลนส์ Summilux-H รูรับแสงกว้างขึ้นกว่าเดิม เป็น f/1.6 เรียกได้ว่า กว้างสุดในระดับเรือธงแบรนด์อื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้ (เท่ากับ LG V30)
กล้องคู่ Dual Camera ของ Huawei Mate 10 Pro เป็นการทำงานร่วมกันของกล้อง RGB ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล กับกล้อง Monochrome 20 ล้านพิกเซล ช่วยกันประมวลผลให้ได้ภาพที่มีสีสันและความคมชัด นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี 4-in-1 hybrid focus ช่วยให้จับโฟกัสภาพได้อย่างรวดเร็ว และ Hybrid Zoom ที่ซูมภาพ 2x ได้อย่างไม่สูญเสียความคมชัด รวมถึงตัวกล้องคู่มี OIS (Opticla Image Stabilization) ช่วยลดการสั่นไหวของภาพทั้ง 2 กล้อง
คือถ้าดูกันตามสเปคกล้องแล้ว ถือว่าพัฒนาจาก P10 และ Mate9 เยอะเลยทีเดียว และรูปภาพที่เอามาโชว์บนเวทีนั้น ในหลายๆ สถานการณ์ถือว่าเก็บภาพออกมาได้สวยดีมาก
3.ระบบ AI ที่ฉลาดขึ้น ทำอะไรได้มากขึ้น และไม่เหมือนกับคู่แข่ง
บนเวทีงานเปิดตัว Huawei Mate 10 Series ครั้งนี้ มีพูดคำว่า “AI” (artificial intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์) กันบ่อยแทบจะทุก 3 นาทีเลยก็ว่าได้ ถือว่าเป็นพระเอกของหัวเว่ยที่ชูให้เห็นถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมาให้กับชิปเซต Kirin 970 ตัวล่าสุด ที่ไม่ได้มาโม้เรื่องความแรงความเร็ว แต่มาเน้นเรื่อง NPU หรือ Neural Processing Unit เพื่อเอาไว้ประมวลผลเกี่ยวกับการใช้งานและการวิเคราห์ในระดับ Machine Learning
AI ในสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยนั้น ในรุ่นก่อนๆ เป็นการทำงานในระบบเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อให้ระบบประมวลผลปรับแต่งเครื่องให้สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ สำหรับคนที่ใช้ Android นั้นจะรู้ว่ายิ่งใช้ไปนานๆ เครื่องจะเริ่มอืดเริ่มช้า แต่หัวเว่ยบอกเลยว่า ระบบ AI นั้นจะช่วยให้เครื่องทำงานไหลลื่นปื้ดๆ ไปตลอด ไม่ต่ำกว่า 18 เดือน ซึ่งอันนี้ใครที่ใช้ Mate 9 หรือ P10 จะบอกได้เลยว่า อันนี้ไม่ได้โม้นะจ๊ะ
แต่ AI ใน Huawei Mate 10 Pro นั้น ทำได้มากกว่านั้น เรียกได้ว่าทำมันซะแทบทุกเรื่องบนเครื่อง ตั้งแต่ระบบการจัดการเรื่องแยกแยะ Recognition ข้อมูลตามประเภทได้รวดเร็ว มีระบบการแปลภาษาแบบ Offline ที่ประมวลผลภายในตัวเครื่องโดยไม่ต้องข้อมูลจาก Cloud ที่เลือกแปลได้ทั้งแปลจากเสียง, ภาพถ่าย, ตัวพิมพ์ และรองรับมากกว่า 50 ภาษา
ที่น่าทึ่งมากๆ คือการถ่ายภาพที่ AI ก็มีส่วนมาช่วย ก่อนหน้านี้ Google โชว์ศักยภาพของระบบ Machine Learning ช่วยในการถ่ายภาพของ Google Pixel 2 ให้ออกมาสวยงามคมชัด ส่วนทางด้าน AI ของ Huawei เองก็มีความฉลาดพอตัว ด้วยระบบแยกแยะและรู้ได้ว่ารูปที่เรากำลังจะถ่ายนั้นเป็นรูปอะไร ระบบสามารถแบ่งแยกจำพวกได้ถึง 13 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ตัวหนังสือ, อาหาร, ถ่ายภาพเวทีแสดง, ท้องฟ้า, หิมะ,ทะเล, เวลากลางคืน, ต้นไม้, ภาพถ่ายบุคคล, ดอกไม้ รวมถึง หมา และ แมว (เฮ้ย!!)
ความสามารถในการแบ่งแยกรูปที่จะถ่ายได้นี้ ทำให้ระบบกล้องเลือก Profile การถ่ายภาพที่เหมาะกับสถานการณ์ให้นั้นได้เองทันที ผู้ใช้มีหน้าที่แค่เล็งเพื่อจัดองค์ประกอบของภาพ แล้วก็กดชัตเตอร์ถ่ายแช๊ะ แค่นั้น! พอไปรวมกับประสิทธิภาพกล้องคู่ Leica แล้วก็ยิ่งทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาดียิ่งขึ้น
กล้องหน้าของ Mate 10 Pro ยังเป็นกล้องเดี่ยว ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแบบคู่ (เชื่อว่าจะเก็บไว้เปลี่ยนเป็นกล้องคู่ตอน P11) แต่ด้วยระบบ AI นั้น หัวเว่ยบอกว่าจะช่วยในการถ่ายเซลฟี่พร้อมปรับภาพถ่ายให้ฉากหลังเป็นโบเก้สวยงามได้ด้วย
4.ใช้ 4G VoLTE ได้ทั้ง 2 ซิม
พื้นฐานเดิมแล้ว Huawei คือเบอร์ต้นๆ ในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม และเครือข่ายใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลกก็ใช้เทคโนโลยีของ Huawei จึงไม่ต้องแปลกใจว่าใน Mate 10 Pro ทางหัวเว่ยมีเทคโนโลยีเครือข่ายที่ล้ำโคตรขนาด Qualcomm ต้องมีเขม่นบ้าง ตัวชิปเซต Kirin 970 มีประสิทธิภาพการเชื่อมต่อเครือข่าย รองรับมาตรฐาน 4.5G เป็นรุ่นแรกของโลก ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 1.2 Gbps CAT 18 พร้อมทั้งยังรองรับ 2G/3G/4G และ 4G VoLTE ได้ทั้ง 2 ซิมอีกด้วย
5.แบตเตอรี่ 4,000 mAh ใหญ่เหลือเฟือ
เรื่องความอึดของแบตเตอรี่ใน Mate Series นั้นขึ้นชื่อลือชามานาน ใน Mate 10 Pro ทางหัวเว่ยจึงจัดแบตมาให้ใหญ่ถึง 4,000 mAh !! ทำงานผนวกกับระบบจัดการพลังงาน, การใช้พลังงานที่น้อยลงของ Kirin 970 รวมถึงการวิเคราะห์ระบบการใช้งานด้วย AI ทำให้แบตเตอรี่ใน Mate 10 Pro ใช้งานได้นานขึ้นกว่าตอน Mate 9 ถึง 30% รองรับการใช้งานหนักๆ เต็ม 1 วันได้สบาย และถ้าเป็นการใช้งานทั่วไปก็สามารถใช้ได้ถึง 2 วันเลยทีเดียว
ให้แบตมาเยอะแล้ว ก็มีระบบชาร์จเร็ว SuperCharge มาด้วย ประสิทธิภาพการทำงานนั้นเร็วปรู้ดปร้าด ระดับที่ชาร์จเพียง 30 นาทีก็ได้แบตเต็ม 58% เทียบกับ iPhone 8 Plus แล้วเร็วกว่า 50% และเร็วกว่าระบบชาร์จไร้สายถึง 4 เท่า (อ้อ! Mate 10 Pro ไม่รองรับระบบการชาร์จแบบไร้สายนะ)
6.PC Mode ที่ดูเจ๋งกว่า DeX ของ Samsung
ฟีเจอร์ที่เอามาโชว์บนเวทีเปิดตัวแล้วน่าสนใจไม่น้อย คือการต่อกับมอนิเตอร์หรือจอทีวี เพื่อทำงานใน PC Mode เหมือนคอมพิวเตอร์ได้ หลายคนอาจจะแบบ “หวายยยย ลอก DeX ของ Samsung หรือเปล่า?” เห็นตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น แต่พอเห็นตอนพรีเซนต์แล้วต้องบอกว่า มีการพัฒนาอะไรหลายๆ อย่างให้ดีกว่า DeX เลยล่ะ
ตั้งแต่การเชื่อมต่อกับจอนั้น หัวเว่ยบอกขอแค่เป็นพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C to HDMI หรือ Hub รวมที่มีพอร์ตหลายๆ อย่าง (แต่ขอให้ตัวเสียบเป็น USB-C) ก็เอามาเสียบใช้กับ Huawei Mate 10 Pro ได้เลย ส่วนเม้าท์และคีย์บอร์ดจะเสียบ OTG หรือต่อไร้สายกับ Bluetooth เองตามสะดวก
ต่อมาด้วยการทำงานที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนการแสดงผลจากสมาร์ทโฟนไปขึ้นเป็นจอใหญ่แบบ PC บนมอนิเตอร์ หรือ Mirror ภาพขึ้นจอ แต่ยังใช้งานเป็นลักษณะทำงานร่วมกันเป็น Second Screen ได้ด้วย คือเวลาที่ต่อภาพขึ้นจอ ตัว Huawei Mate 1o Pro ก็ยังสามารถทำงานแยกอิสระได้ ไม่ต้องรับสายในโหมด PC ก็ได้ แถมยังเลือกเปลี่ยนให้หน้าจอของ Mate 1o Pro ใช้เป็นทัชแพ็ด หรือคีย์บอร์ดได้ด้วย
7.Android 8.0 Oreo ตั้งแต่แกะกล่อง
ด้วยความที่เปิดตัวในเดือนตุลาคมหลังจากที่ Google เปิดตัว Pixel 2 ไปเรียบร้อยแล้ว Huawei Mate 10 Pro จึงกลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ได้กิน Android 8.0 Oreo ตั้งแต่แกะกล่องออกมาเลย
8.เพิ่ม microSD ไม่ได้
ถาดซิมของ Mate 10 Pro ไม่ได้เป็นแบบ Hybrid คือใส่ได้ 2 ซิมเฉยๆ และ “ไม่มีช่องสำหรับใส่ microSD เพิ่ม” แต่ว่านี่น่าจะไม่เป็นปัญหา เพราะหัวเว่ยใส่พื้นที่ ROM มาให้ใหญ่ถึง 128GB ที่ถือว่าไม่เล็ก แต่ถ้ายังไม่สาแก่ใจอยากได้ใหญ่กว่านี้ก็จัด Mate 10 Porsche Design ที่ให้ ROM 256GB ไปเลย
ส่วนเรื่องว่าตัวหน่วยความจำจะใช้เป็นแบบไหน มาตรฐานอะไร เชื่อว่าเวลานี้แล้วระดับ Mate Series ก็คงเป็น UFS แน่นอน ส่วนจะเวอร์ชั่นไหนก็แล้วแต่ตลาดที่วางจำหน่าย
9.ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
สาวก Android บางคนอาจจะรู้สึกหัวร้อนขึ้นมาทันทีกับเรื่องนี้ พร้อมกับอุทานว่า “นี่จะมาช่วยกันยืนยันว่าสิ่งที่ Apple ทำมันถูกต้องใช่มั๊ย!!” เอาเป็นว่าด้วยการออกแบบให้เครื่องหน้าจอเต็มพื้นที่ และมีความบางขนาดนี้ก็น่าจะไม่เหลือที่ให้สำหรับพอร์ต 3.5 มม. แล้ว
แต่การถอดออกนี้ ก็มีเหตุผลที่ดีมาสนับสนุน ไม่ได้ถอดไปดื้อๆ เพราะว่าระบบเสียงของ Huawei Mate 10 Pro นั้น จัดมาให้ดีในระดับ Loseless Audio คุณภาพเสียง Hi-Res 384k/32bit ที่พอร์ตอนาล็อกแบบ 3.5 มม. นั้นเอาไม่อยู่แล้ว ซึ่งต้องใช้เป็นหูฟังแบบเสียบ USB-C แทน
หรือว่าใครที่ยังรู้สึกว่า การฟังเพลงผ่านพอร์ต 3.5 มม. คือนิพพาน ก็ยังมีตัวอแดปเตอร์แปลง USB-C เป็น 3.5 มม. แถมมาให้นะ
10.ประเทศไทย ขายเฉพาะ Mate 10 Pro และ Mate 10 Porsche Design
ตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทยนั้น ถือว่าเป็นตลาดที่สำคัญระดับต้นๆ ของ Huawei เรื่องของยอดขาย ในการเปิดตัว Mate 10 Series ครั้งนี้ ประเทศไทยก็ได้เป็น Wave แรกที่จะได้วางจำหน่าย ภายในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ แต่ว่าจะมาขายแค่ 2 รุ่นคือ Mate 10 Pro และ Mate 10 Porsche Design เท่านั้น ตัว Mate 10 ธรรมดานั้นจะไม่นำเข้ามาจำหน่าย
เชื่อว่าเรื่องนี้ทาง หัวเว่ย (ประเทศไทย) น่าจะทำการบ้านและวิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว ด้วยราคาของ Mate 10 และ Mate 10 Pro ที่ต่างกันไม่มากนัก เข้ามาทั้งคู่ก็อาจจะทับไลน์กันเองได้ ส่วน Mate 10 Porsche Design นั้นต้องบอกว่า Mate 9 Porsche Design ของตลาดในประเทศไทยนั้น ทำยอดขายได้ดีมาก เรียกได้ว่าของจองเกลี้ยงหมดโควต้ากันเลยทีเดียว ครั้งนี้จึงมาเปิดขายในไทยด้วยเช่นกัน
เรื่องของ ราคา Huawei Mate 10 Pro ในประเทศไทย ณ เวลานี้ยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ แต่ค่อนข้างแน่นอนว่าราคาขายจะต่ำกว่า 30,000 บาทแน่นอน ถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจมาก กับสเปคและประสิทธิภาพระดับนี้
และตามธรรมเนียมสำหรับรุ่นใหม่ ก็จะมีการเปิดให้สั่งจอง Pre-Order กันล่วงหน้า ซึ่งทาง หัวเว่ย (ประเทศไทย) นั้นขึ้นชื่อเรื่องความใจปล้ำ แถมนั่นแถมนี่ให้คนที่จองก่อนไม่แพ้ใครเหมือนกัน เท่าที่ทีมงานได้ยินข้อมูลมา เรื่องการสั่งจองน่าจะมีในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ และของแถมสำหรับคนที่จองนั้นต้องบอกว่า “เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ”
สรุปสเปคเบื้องต้น Huawei Mate 10 Pro / Mate 10 Porsche Design
- ขนาด : 154.2 x 74.5 x 7.9 มิลลิเมตร
- หนัก : 178 กรัม
- หน้าจอขนาด 6.0 นิ้ว OLED HDR FHD+ (1080 x 2160 พิกเซล) 402ppi ratio 18:9 ครอบด้วยกระจก Corning Gorilla Glass
- ชิปประมวลผล Hisilicon Kirin 970 Octa-core (4×2.4 GHz Cortex-A73 & 4×1.8 GHz Cortex-A53)
- GPU Mali-G72 MP12
- RAM 6GB
- ROM 128GB (Mate 10 Pro) / 256GB (Porsche Design)
- เพิ่ม microSD ไม่ได้
- กล้องหลัง Leica Summilux-H แบบ Dual Camera 20 MP +12 MP, f/1.6, OIS, Dual LED Flash
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล f/2.0
- ระบบปฎิบัติการ Android 8.0 Oreo ครอบด้วย EMUI 8
- ระบบเสียง Hi-Res 384k/32bit (ไม่มีช่องเสียบ 3.5 มม.)
- แบตเตอรี่ 4,000 mAh รองรับระบบ SuperCharge
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, NFC, Infrared
- Bluetooth 4.2, Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, DLNA
- GPS A-GPS, GLONASS, BDS
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C
- มีให้เลือก 4 สี Midnight Blue, Titanium Gray, Mocha Brown, Pink Gold
- สี Daimond Black (สำหรับ Mate 10 Porsche Design)