รีวิว LG G6 การกลับมาของสมาร์ทโฟนเรือธงหัวแถวจากเกาหลี

พบกับ รีวิว สมาร์ทโฟนแบรนด์ดังจากค่าย แอลจี ที่กลับมาทำตลาดในไทยอีกครั้ง เปิดตัวด้วยรุ่น LG G6 ที่ถือว่าเป็นระดับเรือธงของปี 2017 ที่โดดเด่นตั้งแต่การออกแบบตัวเครื่องหน้าจอใหญ่สวยงาม กล้องคู่ที่ถ่ายได้มุมกว้างมากๆ และโหมดถ่ายวิดีโอแบบ Manual รวมถึงระบบเสียงที่โดนใจคนชอบฟังเพลงเป็นสุด

รีวิว LG G6 สมาร์ทโฟนที่โดดเด่นรอบด้าน ทั้งดีไซน์ กล้องถ่ายภาพ และระบบเสียง

LG แบรนด์ระดับโลกที่ใครๆในประเทศไทยก็น่าจะรู้จักกันทั้งนั้น LG เป็นผู้นำในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าแนวหน้าของโลก ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์จอแบน LCD, OLED เครื่องเสียง Home Theatre เครื่องเล่น Blu-Ray, DVD เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง แอร์ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น เครื่องกรองน้ำ จอมอนิเตอร์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับองค์กรใหญ่ๆอีกมากมาย ซึ่งเป็นที่นิยมกันทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ

มีอีกสิ่งหนึ่งที่ในบ้านเราก็เคยนิยมเป็นอย่างมากจาก LG ก็คือ Smartphone หรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่ง LG หยุดทำตลาดไปกว่าหนึ่งปี การกลับมาครั้งนี้เปรียบเสมือนพันธะสัญญาของ LG Mobile ต่อตลาดไทยว่าจะนำมาซึ่งเทคโนโลยีชั้นสูงมาสู่ผู้บริโภคคนไทย ให้ได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีเหมือนกับที่ทำตลาดอยู่ในประเทศอื่นๆ ของโลก

การกลับมาของ LG Mobile จึงเป็นภารกิจสำคัญยิ่ง โดยทาง LG เลือก G6 เป็นรุ่นสำคัญในการกลับมาสู่ตลาดไทยอีกครั้ง โดย G-Series นั้นเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงในตระกูล Hi-End ที่รู้จักและนิยมในไทยมาหลายเจนเนอร์เรชั่นก่อน ตั้งแต่ G2, G3, G4, G5 และปี 2017 ก็เป็น G6 ที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้สมกับความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีในด้านอุปกรณ์สื่อสารสมาร์ทโฟน สเปคของ G6 เป็นดังนี้

LG G6 สเปค และ ข้อมูลเบื้องต้น

• 5.7” QHD 2K ที่ความละเอียด 2880 x 1440 pixel 564 ppi รองรับภาพวิดีโอแบบ Dolby Vision / HDR10
• หน้าจอแบบ IPS LCD Full Vision Display ปกปองด้วยกระจก Gorilla Glass 3
• กระจกหน้าหลังแบบ Gorilla Glass 5 ป้องกันรอยขีดข่วนและการแตกหัก
• รองรับระบบ 4G LTE-Advanced FDD/TDD Cat 11 (600/75 Mbps) 3CA, Band 1(2100), 3(1800), 4(1700/2100), 5(850), 7(2600), 8(900), 12(700), 20(800), 26(850), 28(700), 38(2600), 39(1900), 40(2300), 41(2500)
• รองรับระบบ 3G HSPA+ Quad band, GSM Quad band
• รองรับการใช้งานแบบ Dual SIM (Nano SIM) : SIM 1 รองรับ 4G/3G/2G, SIM 2 รองรับ 3G/2G
• CPU : Qualcomm Snapdragon 821 Quad-Core (2×2.35 GHz Kyro + 2×1.6 GHz Kyro)
• GPU : Adreno 530
• RAM 4 GB, ROM 64 GB, รองรับ Micro SDXC ในช่อง SIM 2 เพิ่มได้สูงสุด 2 TB
• กล้องหลัง Dual Camera 13 MP, f/1.8, 25mm, OIS 3 แกน PDAF (predictive phase detection) + 13 MP, f/2.4  Dual LED Flash, เซนเซอร์ ขนาด 1/3″ ของ Sony IMX258 รองรับ face detection, HDR, panorama โหมด รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K  ในระดับ 2160p@30 fps หรือ 1080p@30/60 fps และมีโหมดวิดีโอ HDR ด้วย ให้มุมกว้างสูงสุดถึง 125 องศาทำให้ได้ภาพที่กว้างในการถ่ายภาพวิว
• กล้องหน้า 5 MP, f/2.2 รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 1080p ให้มุมกว้างสูงสุดถึง 100 องศา
• WiFi 802.11 a/b/g/n/ac Dual Band, WiFi Direct, DLNA, Hotspot
• รองรับระบบค้นหาตำแหน่งด้วยดาวเทียมตามมาตรฐาน GPS, GLONASS, BeiDou
• Finger print scan, Always On Display
• ตามมาตรฐาน IP68 กันน้ำได้ลึก 1.5 เมตร เป็นเวลา 30 นาที และกันฝุ่น
• ผ่านการทดสอบมาตรฐาน 810G Military Standard ของสหรัฐอเมริกา
• ระบบเสียง Hi-Fi Quad DAC (Digital Analog Converter) ช่วยให้เสียงกังวานชัดเจน
• ระบบสแกนนิ้วมือเพื่อเข้าถึงเครื่องก่อนการใช้งาน Fingerprint sensor,
• Bluetooth 4.2 A2DP, รองรับ aptX HD, LE, NFC, USB 3.1 Type C Version 1.0
• Android Nougat เวอร์ชัน 7.0
• แบตเตอรี่ Li-Po ความจุ 3,300 mAh มาพร้อมระบบ QuickCharge 3.0

https://www.youtube.com/watch?v=njgqb5SpeGs

มา Unbox LG G6 กัน ดูข้างในมีอะไรบ้าง?

ภายใต้กล่องสีดำที่ดูเรียบง่าย เปิดมาก็จะเจอ LG G6 นอนสงบนิ่งรอเราอยู่ เมื่อยกขึ้นก็จะเห็นผ้าเช็ดหน้าจอ ที่เป็นลายโลโก้ G6 ทั่วทั้งผืน เมื่อยกถาดที่แบ่งชั้นออก ก็จะเห็นกล่องแบนๆ ข้างในใส่คู่มือแบบย่อ บัตรรับประกัน และตัว eject SIM ให้มาตามมาตรฐาน ถัดมาในกล่องก็จะเห็นสายดาต้าเคเบิ้ลสีขาว แบบหัว USB-A to USB-C (USB type A เพื่อต่อกับชาร์จเจอร์หรือคอมพิวเตอร์ ส่วนอีกด้านที่เป็น USB type C เพื่อต่อเข้ากับตัวเครื่องสมาร์ทโฟนได้เลย) Charger ขาแบนแบบชาร์จเร็วสีขาว 5V / 1.8 A เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และยังมีหูฟังแบบ In-Ear สีขาวใส่มาให้ด้วยในแพ็คเกจนี้ ก็ถือว่าได้มาตรฐานดีเยี่ยม

ดีไซน์และการออกแบบ

การออกแบบ LG G6 นั้นถือเป็นการเปลี่ยนแปลงของรูปโฉมการดีไซน์เป็นรายแรกๆในอุตสาหกรรมของสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ ด้วยการใช้หน้าจอแบบ Full Vision เพื่อให้หน้าจอนั้นอยู่เต็มพื้นที่ของตัวเครื่องให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ใช่เพียงแค่การเอาปุ่ม Home ออกจากด้านหน้าเหมือนเช่นยี่ห้ออื่นๆ (LG ไม่มีปุ่ม Home มานานแล้วตั้งแต่รุ่น G2 เมื่อสี่ปีก่อน)

ถ้าใครเป็นแฟนๆ สาวก LG ย่อมจะทราบดีถึงปรัชญาการออกแบบสมาร์ทโฟนของ LG ที่พยายามทำสมาร์ทโฟนจอใหญ่ แต่เครื่องต้องไม่ใหญ่ มาตลอด ทำให้การออกแบบ G6 ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 5.7 นิ้ว แต่มีขนาดเครื่องเล็กกว่า iPhone 7 Plus, iPhone 8 Plus (iPhone 7 Plus / 8 Plus มีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ซึ่งเล็กกว่า G6 เสียด้วยซ้ำ)

ตัวเครื่องมีความบางเพียง 7.9 มม.ทำให้จับได้ถนัดมือยิ่งขึ้นด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่ ทำงานได้คล่องตัว โครงสร้างแกนของเครื่องเป็นอลูมิเนียมเบาแต่แข็งแกร่ง ด้านหลังเป็นกระจก Gorilla Glass 5 ส่วนด้านหน้าใช้กระจก Gorilla Glass 3 ทำให้มั่นใจว่า G6 จะทนต่ออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นแม้จะตกหล่นหรือหลุดจากมือของเรา

ทีนี้มาดูปุ่มการสั่งงานต่างๆกัน ตัวเครื่อง LG G6 ยังใช้ปุ่ม Power ที่รวมฟังก์ชันของการเป็น Finger Print Scan ไปในตัวเช่นรุ่นก่อนอยู่ด้านหลัง

ขณะที่ปุ่ม Volume จะอยู่ด้านข้างตัวเครื่องเช่นเคย ขณะที่อีกด้านของเครื่องจะเป็นช่องใส่ถาดซิมแบบ Hybrid Dual SIM ที่ต้องใช้เจ้า Eject SIM เล็กๆ ที่ให้มาในกล่องทำการเปิด โดยซิมที่ใช้เป็นแบบ SIM Nano สองสล็อต ใส่ได้สองซิม หรือจะเป็นหนึ่งซิมบวกกับเมมโมรี่การ์ด ที่เพิ่มได้สูงสุด 2TB (เลือกได้อย่างใดอย่างหนึ่ง)

ด้านหลังจะมีกล้องสองตัวแบบ Dual Camera พร้อมไฟแฟลชสองดวง มีโลโก้ G6 อยู่ด้านล่าง พลิกมาด้านหน้าหน้าจอแบบ LCD ที่มีโหมด Always On Display แสดงผลเป็นนาฬิกาบอกเวลา รวมถึงปริมาณแบตเตอรี่และสถานะอื่นๆ ที่จำเป็น จุดเด่นของฟีเจอร์นี้ก็คือเรายังได้เห็นสถานะต่างๆ ในขณะที่เครื่องกินพลังงานน้อยมากๆ

หน้าจอแบบใหม่ Full Vision เต็มตา เต็มจอ บนขนาดที่พอดีมือ และภาพสมจริงด้วย Dolby Vision, HDR10

LG เป็นหนึ่งในบริษัทที่เทคโนโลยีการผลิตจอภาพเป็นของตัวเอง ทั้งจอภาพที่ใช้กับทีวี จอคอมพิวเตอร์ จนมาถึงผลิตเพื่อใช้เป็นหน้าจอสมาร์ทโฟน ลึกๆกว่านั้น LG ยังผลิตจอป้อนให้กับ Apple เพื่อใช้ในการผลิต iPhone อีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกที่ LG จะเป็นสมาร์ทโฟนยี่ห้อแรกที่นำเอาเทรนด์ของหน้าจอแบบสุดขอบ (เครื่อง) มาใช้เป็นรายแรกๆ (LG G6 เปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะนั้นยังไม่มีสมาร์ทโฟนยี่ห้อไหนใช้หน้าจอแบบนี้กันเลย ส่วน Galaxy S8 ก็เปิดตัวเมื่อปลายเดือนมีนาคม หรือ 1 เดือนให้หลัง)

ด้วยหน้าจอแบบ Full Vision IPS LCD ที่มีความละเอียดระดับ 2K QHD Plus (2880 x 1440) บนสัดส่วนแบบ 18:9 ผสานกับเทคโนโลยี Dolby Vision (ที่ตอนนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ Hollywood ต่างเลือกใช้ในการสร้างภาพยนตร์ในยุคนี้) ทำให้ภาพที่ได้สมจริงมากขึ้นเมื่อชมภาพเคลื่อนไหว ภาพยนตร์ต่างๆ สีสันต่างๆ ที่ได้ดูจริงไปหมดซึ่งวันนี้ได้นำมาใช้กันในจอทีวีในบ้านกันแล้วด้วย LG ได้จับมาใส่ไว้แล้วใน LG G6 นี้

รวมถึงการรองรับเทคโนโลยีภาพแบบ HDR 10 ด้วยเช่นกัน ซึ่งตอนนี้ผู้ให้บริการอย่าง Netflix, Amazon ก็เปิดให้บริการแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ใช้ที่ชมภาพยนตร์ผ่านทางการให้บริการของ Netflix ผ่านทาง LG G6 ก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ HDR10 ได้แล้ว พูดถึงการใช้งานกันบ้างสำหรับหน้าจอ G6 เครื่องนี้ยังสามารถสู้แสงได้ดีเวลาใช้งานกลางแดด เพราะมีความสว่างสูงสุดถึง 564 nits ทำให้เชื่อใจได้กับ LG G6 ที่เปิดประสบการณ์ด้วยหน้าจอแบบ Full Vision ที่มีรายละเอียดตอบโจทย์ในทุกๆด้าน

ประสิทธิภาพอันเชื่อถือได้ ทรงพลังด้วย Snapdragon 821 และ LTE-Advanced

LG G6 นั้นมาพร้อมกับ CPU ระดับสูงของอุตสาหกรรมอย่าง Qualcomm Snapdragon 821 Quad Core ที่แรงไม่ธรรมดาพร้อมด้วย RAM 4GB, ROM 64GB (เป็นหน่วยความจำแบบ UFS) ทำงานร่วมกันแล้วให้พลังในการประมวลผลอย่างเต็มเปี่ยม

มาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง 4G LTE ก็รองรับทุกความถี่ในบ้านเราไม่ว่าจะเป็นค่ายไหน (900 MHz, 1800 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz คลื่นใหม่บนมาตรฐาน LTE TDD ก็รองรับ) ด้วยมาตรฐาน LTE-Advanced รองรับความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดที่ 600 Mbps และสนับสนุนการใช้งานระดับ 3CA (Carrier Aggregation) ที่รวมสามคลื่นความถี่เข้าเป็นหนึ่ง ทำให้มั่นใจว่า LG G6 ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพสมกับมาตรฐานสมาร์ทโฟนตัวเรือธงจากค่าย LG ทั้งนั้น ทั้งนี้ก็อยู่ที่การใช้งานจริงว่าในเวลานั้นๆ ที่เราใช้สัญญาณแรงแค่ไหน มีคนใช้ร่วมในพื้นที่เราเยอะไหม ปัจจัยเหล่านั้นจะเป็นตัวตอบว่าเราจะได้ประสิทธิภาพเท่ากับสเปคที่เครื่องทำได้หรือไม่

นอกจากนี้ผมยังได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของตัวเครื่องโดยผ่านทาง App Antutu Benchmark ซึ่งผลก็ออกมาน่าเป็นที่พอใจ โดยคะแนนอยู่ที่ประมาณ 124,000 ซึ่งถือว่าเป็นไปตามคาดด้วยประสิทธิภาพของ CPU Qualcomm Snapdragon 821 ด้วย RAM 4GB ก็ถือว่าเยี่ยมเลย

กล้องคู่ระดับเทพ ที่เชื่อขนมกินได้ พร้อมฟังก์ชัน Ultra wide angle และ Square Camera

LG ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่พัฒนาระบบกล้องได้ดีในอันดับต้นๆ ของตลาดโลก มาในครั้งนี้การเป็นเทพแห่งกล้องคู่ก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยกล้องคู่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซลเท่ากันทั้งสองเลนส และใช้เซนเซอร์ Sony IMX258 ทั้งสองเลนส์เช่นกัน ซึ่งเซนเซอร์มีขนาดใหญ่ขึ้นที่ 1/3” ทำให้ในสภาพแสงน้อยก็ไม่ได้เป็นปัญหากับ G6

สัดส่วนของภาพที่ถ่ายมีได้หลายแบบ ตั้งแต่มาตรฐาน 4:3 (ความละเอียด 13 MP, 6.2 MP) 16:9 (ความละเอียด 9.7 MP, 3.7 MP) 18:9 (ความละเอียด 8.7 MP, 3.3 MP) และ  1:1 (ความละเอียด 9.7 MP, 2.1 MP)

โดยทั้งสองเลนส์ทำหน้าที่เป็นมุม Wide (ภาพกว้าง) ตัวหนึ่งและ Tele (ภาพซูมเข้า) อีกตัวหนึ่ง โดยเลนมุมกว้างนั้นมี F/1.8 ทำมุมครอบคลุมถึง 120 องศาให้ภาพได้แบบ Ultra Wide Angle ภาพกว้างได้ดีมากๆ ถ่ายภาพวิวภาพคนเป็นหมู่คณะก็เก็บได้หมดอย่างสวยงาม ส่วนเลนส์มุมแคบหรือเลนส์ Tele นั้นมี F/2.4 ทำมุมครอบคลุมได้ 71 องศา ถ่ายภาพบุคคลได้สัดส่วนที่ดี ส่วนเลนส์ด้านหน้านั้นก็ให้มุมกว้างได้ถึง 100 องศาช่วยให้การถ่าย Selfie, Wefie ได้ภาพครอบคลุมที่กว้างเก็บครบอย่างที่ใจต้องการ ถือว่าเป็น ภาพแบบ Ultra Wide Angle ที่แท้จริง

นอกจากนั้นยังรองรับโหมดในการถ่ายภาพอีกหลายโหมด ไม่ว่าจะเป็น Auto, Popout, Snap (ถ่ายเป็นวิดีโอสั้นๆ 3 วินาทีคล้ายๆ Animated GIF), Panorama, Slow-Motion, 360 Panorama, Time-lapse (ถ่ายวิดีโอแบบภาพวิ่งเร็วๆต่อเนื่อง), Food (ใช้ถ่ายภาพอาหาร) และที่ขาดไม่ได้นั่นคือโหมด Manual หรือปรับตั้งค่าการถ่ายด้วยตัวเอง ซึ่งพิเศษตรงที่ผู้ใช้สามารถปรับตั้งค่าได้ทั้ง ภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ โดยผู้ใช้สามารถปรับได้ทั้ง WB (White Balance), Focus, EV (ชดเชยแสง), ISO (สภาพแสง), Speed (ความเร็วชัตเตอร์) ที่ปรับได้นานสุดคือ 30 วินาทีและเร็วสุดที่ 1/4000 วินาที ซึ่งถือว่าหาได้ยากในสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นที่จะทำแบบนี้ได้

ขณะที่โหมด Manual ก็สามารถปรับกับการถ่ายวิดีโอได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับเกนความดังค่อยของไมโครโฟน การปรับ WB (White Balance) ของอุณหภูมิแสง ปรับ ISO และรวมถึงการปรับ Speed ของหน้ากล้อง ซึ่งถือว่ากล้องคู่ด้านหลังของ LG G6 นี่ทำงานได้ระดับโปรเลยจริงๆ สุดยอดมากสมกับที่นักเล่นสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในต่างประเทศวางใจและเลือกใช้ LG G6 ติดอยู่คู่กายของพวกเขา

ปิดท้ายด้วยโหมดการถ่ายภาพแบบ Square หรือภาพสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่เป็นลูกเล่นที่สนุก โดยคุณสามารถถ่ายภาพแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบแบ่งบนล่างในการถ่ายด้วยการถ่ายทีละเฟรมของกล้องหลัง หรือถ่ายพร้อมกันกล้องหน้ากล้องหลังแบ่งบนล่าง หรือจะเป็นแบบการถ่าย 4 แอคชั่นกลายเป็นสี่ภาพใน 1 เฟรมจัตุรัส ก็ทำได้ ทำให้การถ่ายภาพของคุณเป็นประสบการณ์ที่น่าสนุกไปอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่เหมือนใคร ในแง่ของคุณภาพของภาพทั้งภาพนิ่งและภาพวิดีโอต้องบอกว่าออกมาได้น่าประทับใจมาก ใครที่เป็นคนชอบถ่ายภาพ บอกได้เลยว่า LG G6 จะให้คุณได้สร้างสรรค์ภาพอย่างที่คุณอาจจะไม่เคยทำได้มาก่อนในสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ก่อนหน้านี้

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ LG G6

กันน้ำกันฝุ่นกันตกกระแทก ด้วยมาตรฐาน IP68 และผ่านการทดสอบระดับ Military Grade มาแล้ว

การพัฒนาสมาร์ทโฟนวันนี้ในระดับตัวเรือธง ไม่ใช่แค่ทำให้เครื่องมีสมรรถนะที่ดี และดีไซน์ที่สวยงามเท่านั้น หากแต่ความทนทานของเครื่องก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นสำหรับสมาร์ทโฟนยุคนี้ โดยเฉพาะเครื่องที่ราคาสูงๆ สำหรับ LG G6 นั้นก็ถือว่าได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน โดยเครื่อง G6 ผ่านมาตรฐาน IP68 ทำให้กันน้ำได้ในระดับ 1.5 เมตร เป็นเวลา 30 นาทีได้อย่างหายห่วง ตกน้ำก็ไม่ต้องกังวล ขณะที่ตัวเครื่องก็กันฝุ่นไปด้วยในคราวเดียวกัน

แต่เท่านั้นไม่พอ ทาง LG ยังได้ส่ง G6 ไปทดสอบความแข็งแกร่งของเครื่องตามมาตรฐาน 810G Military Standard Test ซึ่งเข้มข้นมากกว่าการทดสอบมาตรฐาน IP (Ingress Protection Ratings) เสียอีก (IP68 : เลข 6 แปลว่าสามารถป้องกันฝุ่นได้, เลข 8 สามารถกันน้ำได้ลึก 1.5 เมตรและใช้งานใต้น้ำได้) โดย 810G Military Standard Test นั้น มีตั้งแต่การทดสอบในสภาพแวดล้อมที่เป็นเรื่องอุณหภูมิที่แปรผันตั้งแต่ -21 C ไปถึง 49 C นานเป็นชั่วโมง การอยู่ในสภาพแวดล้อมกลางแดด กลางฝน กลางความชื้น การทนอยู่ในสภาพที่สั่นไหวเป็นเวลา 3 ชั่วโมง การหล่นจากที่สูงระดับ 122 ซม. การอยู่ในฝุ่นในทราย และอยู่ในน้ำระดับ 1 เมตรเป็นเวลา 30 นาที ซึ่ง LG G6 ก็ผ่านการทดสอบเหล่านั้นมาได้จนถือว่าผ่านการทดสอบมาตรฐาน 810G Military Standard Test มาแล้ว ขณะที่สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ยี่ห้ออื่นๆ จะมีผ่านแค่มาตรฐาน IP68 เท่านั้น ถือว่าทาง LG ทำงานได้อย่างเข้มข้นมากๆ สำหรับเรื่องนี้

ระบบเมนู (User Interface), แอพฯที่ติดตั้งมาจากโรงงาน, และประสิทธิภาพ (Performance) ของเครื่อง

ถ้าใครเคยใช้ระบบเมนูของ LG สมาร์ทโฟนมาก่อนก็จะรู้ว่าค่อนข้างใช้ง่ายมาก คือไม่มี App Drawer (ไม่มีปุ่มตรงกลางเพื่อเข้าหน้าแอพรวม) โดยแอพทั้งหมดจะอยู่ในหน้ามาตรฐาน เพียงแต่ปัดหน้าไปมาซ้ายขวา ก็จะเห็นแอพเหล่านั้นแล้ว และถ้าอยากจะจัดระเบียบก็ทำได้ด้วยการสร้าง Folder ให้มันอยู่กันเป็นกลุ่มๆ LG G6 ได้ลงแอพฯมาตรฐานมาให้แบบว่าไม่ขี้เหร่ มีจำนวนแอพเหมาะสมไม่มากไปไม่น้อยไป  เพียงพอที่จะใช้งาน ไม่ได้ให้มาแบบเว่อร์ๆ จนไปกินพื้นที่ในหน่วยความจำเปล่าๆ

ขณะที่ในเมนู การตั้งค่า (Setting) ก็ยังแบ่งเป็นหมวดหมู่ให้ง่ายต่อการเข้าถึง โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม – เครือข่าย / เสียงและการแจ้งเตือน / หน้าจอ / ทั่วไป ซึ่งทำให้เข้าถึงการตั้งค่าต่างๆได้ง่ายกว่ามาก นอกจากนั้นยังมีระบบ Knock Knock ที่เราคุ้นเคยกันดี ด้วยการใช้นิ้วเคาะหน้าจอ สองที ไม่ต้องแรงมาก เพื่อใช้ในการปลุก G6 ให้ตื่นขึ้นมา(จอติด) หรือจะเคาะสองทีตอนหน้าจอเปิด ก็จะเป็นการดับจอลง สะดวกมากๆ แต่ถ้าใครชอบใช้ระบบรักษาความปลอดภัยก็ใช้ Fingerprint scan ด้านหลังเพื่อปลุกเครื่องให้ตื่นพร้อมกับการปลดล็อคเพื่อเข้าทำงานได้เลย อันนี้ควรจะทำเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาขโมยเครื่องเราไปใช้ได้

LG G6 การกลับมาอีกครั้งที่น่าประทับใจ

โดยรวมผมค่อนข้างประทับใจกับประสิทธิภาพของ LG G6 ราคา ที่ตอนนี้วางไว้อยู่ที่ 24,990 บาท พร้อมแคมเปญร่วมกับ AIS ที่มีส่วนลดค่าเครื่องสูงสุด 4,000 บาท ยังไม่พอ ช่วงโปรโมชั่นนี้ เมื่อซื้อ LG G6 รับไปเลยกับ  LG LED TV 43” รุ่น 43LJ500T มูลค่า 13,900 บาท ด่วน! ของแถมมีจำนวนจำกัด สุดยอดไปเลยดีลนี้กับการกลับมาของ LG สมาร์ทโฟนสู่ตลาดไทยอีกครั้ง ใครที่เป็นสาวก LG ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง