เรียกได้ว่า Vivo V7+ เป็นการพลิกโฉมการดีไซน์หน้าตาสมาร์ทโฟนของทางวีโว่ให้สวยงามเหมาะมือมากขึ้นกว่าเดิมด้วยการใช้หน้าจอแบบ FullView 18:9 เป็นครั้งแรกและตอกย้ำความเป็นแถวหน้าของสมาร์ทโฟนสำหรับการถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 24 ล้านพิกเซล ทีมงาน TechOffside ล้ำหน้าโชว์ จะมารีวิวให้ดูกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างกับเรือธงรุ่นล่าสุดจากวีโว่ตัวนี้
Hand-on ลองสัมผัส Vivo V7+
ตัวที่ทีมงานได้รับมาทดสอบนี้เป็นเครื่องสีดำแบบดำด้านที่ดูขรึมเท่คราวนี้หนุ่มๆก็พกสมาร์ทโฟนของวีโว่ได้แบบแมนๆแล้วขนาดของตัวเครื่องนั้นอยู่ที่ 155.87 x 75.74 มิลลิเมตรหนา 7.7 มิลลิเมตรน้ำหนัก 160 กรัมตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นโลหะประกอบบแบบ Unibody ที่มีความโค้งมนสวยงาม
จะเห็นได้ว่าตัวเครื่องนั้นมีขนาดที่ไม่ใหญ่มากสามารถถือใช้งานมือเดียวได้ถนัดแต่ว่าหน้าจอนั้นมีขนาดใหญ่ถึง 5.99 นิ้วแบบ FullView ที่เป็นอัตราส่วนใหม่ 18:9 ความละเอียด HD+ (1440 x 720 พิกเซล) ด้วยหน้าจอใหญ่ขึ้นเทียบสัดส่วนแล้วเต็มพื้นที่ด้านหน้าถึง 84.4%
ด้านบนของจอจะมีจุดเด่นของ Vivo V7+ คือกล้องหน้าเซลฟี่ที่ความละเอียดสูงถึง 24 ล้านพิกเซลพร้อมลำโพงสนทนา, เซนเซอร์ต่างๆและยังมีไฟแฟลชแบบ Moonlight สำหรับการถ่ายเซลฟี่ในสภาวะแสงน้อยส่วนด้านล่างของจอนั้นด้วยการที่ใช้จอแบบ FullView จึงเปลี่ยนปุ่มต่างๆมาใช้เป็นแบบ Onscreen ทั้งหมด
ด้านข้างของเครื่องออกแบบให้มุมเครื่องโค้งมนรับกับอุ้งมือทางซ้ายจะมีปุ่มปรับระดับเสียงกับปุ่ม Power ส่วนทางซ้ายของเครื่องจะเป็นช่องของถาดใส่ซิมที่สามารถใส่ซิมขนาด NanoSIM ได้ 2 ซิมและใส่ microSD ได้ด้วยโดยรองรับความจุสูงสุดได้ถึง 256GB
ส่วนด้านบนตัวเครื่องจะมีช่องไมค์สำหรับตัดเสียงรบกวนระหว่างการสนทนาเพื่อให้เสียงโทรคมชัดมากขึ้นส่วนด้านล่างจะเป็นช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ต USB แบบ Micro USB 2.0 และลำโพง
ด้านหลังเครื่องมีการออกแบบเส้นสายของเสาอากาศให้หลบไปที่ขอบด้านข้างเครื่องทำเป็นเส้นขนาดเล็ก 2 เส้นทำให้ดูสวยงามไม่ขัดตาจะมีกล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซลพร้อมไฟแฟลชแบบ LED และที่ด้านบนของโลโก้ Vivo ก็จะมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ในตำแหน่งที่ใช้นิ้วชี้แตะได้ถนัดมือ
Package
ในกล่องของ Vivo V7+ นั้นตัวเครื่องจะมีติดฟิล์มกันรอยมาให้เรียบร้อยแล้วจะมีอุปกรณ์อื่นๆให้มาด้วยได้แก่เคสใสแบบ TPU, หูฟังสมอล์ทอล์ค, สาย USB 2.0, อแดปเตอร์สำหรับชาร์จ, เข็มจิ้มถาดซิมและเอกสารเบื้องต้นในการใช้งานและคู่มือการรับประกัน
ประสิทธิภาพเครื่อง
สเปคของ V7+ นั้นใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 450 Octa-Core 1.8 GHz ถือว่าเป็นชิปประสิทธิภาพระดับกลางหน่วยความจำในเครื่องที่ให้มามีความจุ 64GB และเพิ่ม microSD ได้สูงสุด 256GB ส่วน RAM ก็มีให้มา 4GB เปิดใช้งานมาจะเหลือสำหรับใช้งานประมาณ 2GB นิดๆโดยพื้นฐานแล้วในการใช้งานทั่วไปถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานแอพพื้นฐานต่างๆได้ลื่นไหลสบายๆ
สำหรับประสิทธิภาพการใช้งานด้านมัลติมีเดียรวมถึงการเล่นเกมด้ว้ยประสิทธิภาพการ Benchmark บน Antutu ระดับคะแนนเกือบๆ 60000 ถือว่าอยู่ในระดับที่พอใช้ไม่ได้สูงมากหากเล่นเกมพวกกราฟฟิคหนักๆจะต้องปรับเรื่องความละเอียดลงมาจึงจะเล่นได้ไม่มีสะดุด
ประสบการณ์การใช้งานเครื่อง
ระบบปฎิบัติการในเครื่องติดตั้งมาให้เป็น Android 7.1.2 Nougat ครอบด้วย Funtouch OS 3.2 ที่ออกแบบมาแบบไม่มี Appdrawer รวมทุกอย่างมาเก็บไว้ที่หน้า Home ทั้งหมดส่วนหน้าตาของ UI มาตรฐานเครื่องก็ออกแบบมาคล้ายคลึงกับ iOS พอสมควรใครใช้ iPhone มาก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Vivo ก็เรียกได้ว่าปรับตัวไม่มากเท่าไหร่นัก
การเรียกแถบรวมการแจ้งเตือน (Notification Center) จะอยู่ด้านบนของจอรูดลงมาส่วนการปรับค่า Setting แบบทางลัดให้รูดจากด้านล่างจอขึ้นมา (แหม…เหมือน iOS เป๊ะ)
ระบบรักษาความปลอดภัยในเครื่อง Vivo V7+ มีทั้งระบบการใช้เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือในการปลดล็อคเครื่องและยังมีฟีเจอร์ใช้การสแกนใบหน้าเพื่อใช้ปลดล็อคเครื่องได้อีกด้วย
การใช้งานแบบแบ่ง 2 หน้าจอก็สามารถทำงานได้สะดวกมากขึ้นด้วยโหมด Smart Split 3.0 เราสามารถแบ่งหน้าจอออกเพื่อใช้งาน 2 แอพพร้อมกันได้ง่ายๆเพียงแค่ใช้นิ้ว 3 นิ้วรูดลงที่หน้าจอก็จะเปิดโหมดแยกจอได้ทันทีและการที่เปลี่ยนมาใช้จอเป็นแบบ 18:9 ก็ช่วยให้เวลาแบ่งหน้าจอมีพื้นที่ใช้งานได้มากขึ้นอีกด้วย
สำหรับคนที่ชอบเล่นเกมตัว FunTouch เวอร์ชั่นนี้มีระบบให้เวลาที่มีสายโทรเข้ามาระหว่างที่เล่นเกมอยู่จะแสดงผลเป็นแค่การแจ้งเตือนที่เราเลือกรับหรือไม่รับสายก็ได้ทำให้ไม่ขัดจังหวะระหว่างที่กำลังเล่นเกมอยู่
มาพูดเรื่องของเสียงกันบ้างแฟนสมาร์ทโฟนของ Vivo จะรู้ดีเรื่องของการเน้นประสิทธิภาพด้านเสียงนั้นทุกรุ่นจะใส่ชิปเสียงมาให้ด้วยใน V7+ จะใช้เป็น AK4376A แบบ Hi-Fi ที่ให้กำลังเสียงเวลาฟังด้วยหูฟังที่ค่อนข้างดีและปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ
แบตเตอรี่ภายใตัวเครื่องความจุ 3,225 mAh ถือว่าให้มาเยอะพอสมควรการใช้งานตามปกติก็สามารถอยู่ได้รอดตลอดทั้งวันแต่ถ้าใช้หนักๆเล่นเกม, ถ่ายภาพ, โซเชียลฯลฯต่อเนื่องก็จะอยู่ได้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง
กล้องถ่ายภาพ
ด้วยความที่รุ่นนี้เน้นเรื่องเซลฟี่เป็นพิเศษก็จะขอพูดถึงกล้องหน้าก่อนเป็นอย่างแรกตัวกล้องเซลฟี่นั้นเซนเซอร์ความละเอียดสูงถึง 24 ล้านพิกเซลรูรับแสง f/2.0 มาพร้อมกับ Face Beauty 7.0 ซอฟท์แวร์การทำงานของทาง Vivo ในการถ่ายภาพเซลฟี่ออกมาสวยงาม ที่เราเลือกปรับแต่งค่าต่างๆ ได้อิสระ ทั้งผิวเนียน, ปรับโทนผิว ปรับสีสัน ให้ใบหน้าเวลาถ่ายเนียนสวยดูเป็นธรรมชาติ
และกล้องหน้าถึงแม้ว่าจะเป็นกล้องเดี่ยวแต่ก็มีซอฟท์แวร์สำหรับทำโหมดถ่ายภาพบุคคลหรือ Portrait ได้โดยจะทำการปรับเบลอภาพฉากหลังในการเซลฟี่เพื่อให้บุคในภาพมีความเด่นมากยิ่งขึ้นโดยที่กล้องหน้าจะมีไฟแฟลชแบบ Moonlight เพื่อช่วยถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้ดีขึ้นรวมถึงมี HDR ช่วยเวลาถ่ายภาพย้อนแสงและมีโหมดถ่ายเซลฟี่แบบกลุ่มที่ปรับบิดมือเพื่อเก็บภาพได้มุมมองได้มากขึ้น
สำหรับกล้องหลังนั้น V7+ ใช้เซนเซอร์กล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซลรูรับแสง f/2.0 เช่นกันระบบจับโฟกัส PDAF มีโหมดถ่ายภาพทั้งแบบออโต้, แบบโปร, ถ่ายภาพเอกสาร,ถ่ายภาพต่อเนื่องเพื่อเก็บภาพเคลื่อนไหวเร็วและมีโหมด Ultra HD ที่ถ่ายภาพหลายภาพเพื่อรวมเป็นภาพความละเอียดสูงได้ถึง 64 ล้านพิกเซลและกล้องหลังเองก็มีโหมดเซลฟี่ด้วยเช่นกัน
ในด้านการถ่ายภาพเคลื่อนไหววิดีโอ จะรองรับการถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด 1080p, 720p และ 480p ในส่วนของกล้องหลังจะมีโหมดถ่ายวิดีโอ Slo-motion ได้ด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องของ Vivo V7+
สรุปหลังลองใช้ Vivo V7+
สิ่งที่น่าประทับใจสำหรับ V7+ คือขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นโดยที่ตัวเครื่องไม่ได้ใหญ่ตามและมีเครื่องสีดำให้เลือกตั้งแต่วันวางขายเพราะปกติแล้ว Vivo ก่อนหน้านี้จะเน้นเครื่องสีสำหรับสาวๆอย่างสีทอง, สีชมพูหนุ่มๆจะซื้อใช้ก็มีลังเลใจและจอพอเป็น 18:9 ก็ช่วยให้เครื่องดูจอใหญ่เต็มตาสวยงามขึ้นมาก
กล้องนั้นเน้นเรื่องเซลฟี่เป็นหลักจัดความละเอียดมาถึง 24 ล้านพิกเซลพร้อมไฟแฟลชมีซอฟ์ทแวร์ช่วยจัดการปรับแต่งบิวตี้ได้ส่วนกล้องหลังก็อยู่ในระดับที่คมชัดและปรับแต่งโหมดต่างๆได้หลายอย่างแต่ด้วยรูรับแสงที่มาเป็น F/2.0 เวลาที่ถ่ายในสภาพแสงน้อยก็อาจจะยังเก็บรายละเอียดได้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
การใช้งานทั่วไปตอบสนองได้ดีสเปคที่ให้ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆส่วนตัวแอพและฟีเจอร์นั้นโดยรวมอาจจะยังไม่มีอะไรใหม่มากแต่มีที่จำเป็นในการใช้งานหลักๆให้ครบถ้วน
จุดเด่น
- หน้าจอ FullView ขนาดใหญ่เกือบ 6 นิ้ว แต่ตัวเครื่องนั้นมีขนาดที่เล็กพอๆ กับรุ่นที่หน้าจอ 5.5 นิ้ว
- ดีไซน์เส้นเสาอากาศด้านหลังสวยงาม ไม่กวนสายตา
- ถาดซิมใส่ได้ 2 ซิม และเพิ่ม microSD ได้ด้วย
- มีชิปเสียง AK4376A แบบ Hi-Fi
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านหลังตำแหน่งพอดีกับนิ้วชี้ สแกนเร็ว และใช้เป็นชัตเตอร์ถ่ายภาพได้
- แอพแชทอย่าง LINE, WeChat, Whatsapp สามารถเปิดโหมด Clone App เพื่อเล่นได้ 2 บัญชีพร้อมกันในเครื่องเดียว
- กล้องหน้าสามารถใช้โหมดบิวตี้ ระหว่างที่ใช้เป็นกล้องแชทผ่านแอพ LINE ได้ด้วย
ข้อสังเกต
- หน้าจอความละเอียด HD+ ที่ดูน้อยไปนิดเมื่อเทียบกับขนาด ถ้าเป็น Full HD+ จะได้ความคมชัดเวลาดูหนัง หรือดูภาพถ่ายมากขึ้น
- การถ่ายภาพไฟล์ขนาดใหญ่ มีรอในช่วงที่บันทึกไฟล์ข้อมูลในการถ่ายแต่ละครั้งประมาณ 1-2 วินาที
- เลนส์กล้องด้านหลังนูนขึ้นมาพอสมควร
- ไม่รองรับระบบ Fast Charge
- ไม่มี NFC