ในตลาดกล้องประเภทแอคชั่นแคม GoPro ถือว่าเป็นแบรนด์ที่โด่งดังและผู้คนรู้จักกันมากที่สุด รุ่นล่าสุดที่ออกมาในปีที่แล้วคือ Hero 6 Black ถือว่าเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานทั้งถ่ายภาพและวิดีโอได้ดีเยี่ยมมากๆ ในขนาดที่เล็กกะทัดรัด ล่าสุดปี 2018 มีรุ่นใหม่คือ GoPro Hero ที่ตั้งเป้าเจาะกลุ่มผู้สนใจเริ่มใช้งาน โดยปรับสเปคต่างๆ ให้ครบสำหรับมือใหม่ และตั้งราคาขายที่ถูกสุดเท่าที่โกโปรเคยมีมา ที่ 7,200 บาทเท่านั้น
เรียกได้ว่าผิดคาดไม่น้อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่โกโปรทำรุ่นราคาประหยัดออกมา เพื่อสู้กับตลาดรุ่นล่างได้ เพราะว่าโดยปกติแล้ว กล้อง GoPro นั้น ราคาจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงพอสมควร อย่างรุ่น Hero 6 Black แม้ว่าจะปรับราคาลงมาเหลือ 14,500 บาท แต่กับหลายคนก็ยังรู้สึกว่ามันค่อนข้างสูงอยู่ หรือแม้แต่รุ่นเก่าเมื่อ 2 ปีที่แล้วอย่าง Hero 5 เอง ก็อยู่ที่ 10,800 บาท
งานนี้ GoPro จึงคิดว่าแทนที่จะทำรุ่นใหม่ให้แรงขึ้นกว่าเดิม แล้วราคาแพงขึ้นไปอีก ลองมาทำสินค้าสำหรับลูกค้าตลาดที่งบประมาณไม่ถึงหมื่นบาทดูบ้างดีกว่า ที่ก่อนหน้านี้จะเป็นของกล้องจากประเทศจีน ที่มีราคาไล่มาตั้งแต่ 2-3 พันบาท ไปจนถึงราวๆ 6-7 พันบาท และงานนี้โกโปรก็เปิดราคาของกล้อง GoPro Hero ออกมาในตลาดที่ 7,200 บาท ถูกกว่า GoPro 6 เรียกได้ว่าครึ่งๆ กันเลย
GoPro Hero มีอะไรเหมือนเดิม หรือเปลี่ยนไปบ้าง?
อย่างที่บอกไปว่ารุ่นนี้คือการลดสเปคเพื่อที่ให้สามารถทำราคาได้ถูกลงกว่าเดิม แต่โกโปรก็ยังยืนยันว่าประสบการณ์ใช้งานยังเหมือนกับรุ่นก่อน แต่ว่าความสามารถจะถูกจำกัดให้ใช้ได้ในระดับสำหรับผู้ที่เริ่มต้นอยากใช้งานกล้องแอคชั่นแคมแต่ไม่อยากจ่ายแพงเป็นหลักหมื่น ดังนั้น เราจะมาสรุปโดยรวมทั้งหมดว่า GoPro Heroใหม่ ตัวนี้มีอะไรบ้างที่เหมือนกับรุ่นพี่ และมีอะไรที่โดนปรับลดลงมา
ตัวเครื่องที่เหมือนเดิมเป๊ะๆ
โกโปรยังคงใช้การดีไซน์ตัวกล้องแบบนี้มาตั้งแต่รุ่น GoPro 5 เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เหมือนเดิมชนิดที่ว่าดูผ่านๆ และไม่สังเกตนี่แทบจะแยกไม่ออก เพราะเหมือนกันทั้งรูปแบบและสีตัวเครื่อง จะมีต่างกันก็แค่ชื่อรุ่นที่พิมพ์ไว้ข้างๆ เลนส์กล้องเท่านั้น
ซึ่งข้อดีของการที่โกโปรใช้ดีไซน์ของตัวเครื่องเหมือนเดิม ก็เพื่อที่ว่ามันจะสามารถใช้กับอุปกรณ์เสริมต่อพ่วงต่างๆ ที่มีออกมาในท้องตลาดได้ทั้งหมด ไม่ต้องดีไซน์หรือทำใหม่ ใครมีของเก่าอยู่ก็เอามาใช้ได้เลย ทั้งตัว mount เพื่อติดตั้งบนที่ต่างๆ, ตัวยึดเกาะกล้อง รวมไปถึงแบตเตอรี่, สายชาร์จ ฯลฯ
หน้าจอและการควบคุม
ที่ตัวเครื่องมีหน้าจอขนาดใหญ่ 2 นิ้วแบบสัมผัสเหมือนกันกับรุ่น Hero 5 และ 6 ที่ใช้ทั้งเป็นมอนิเตอร์ภาพเวลาที่ถ่าย, ใช้ควบคุมและเลือกโหมดการถ่ายภาพ รวมถึงเอาไว้สำหรับดูภาพที่ถ่ายไปแล้วก็ได้
ปุ่มควบคุมบนเครื่องจะมีเพียงแค่ 2 ปุ่ม คือปุ่ม Power ด้านข้างที่นอกจากเอาไว้กดเปิดปิดเครื่อง (กดค้าง) ก็ยังเอาไว้กดเปลี่ยนโหมด่ถ่ายภาพ และกดมาร์กตำแหน่ง Highlight ระหว่างที่ถ่ายวิดีโอ ส่วนอีกปุ่มก็เป็นปุ่มสั่งบันทึก
กันน้ำ + ทนทาน
ข้อดีของการเลือกดีไซน์แบบเดิมก็คือ ได้ประสิทธิภาพเรื่องของการกันน้ำได้ โดยที่ไม่ต้องใส่เคส คือถือกล้องโดดลงน้ำถ่ายได้เลย โดยที่ตามสเปคจะสามารถลงน้ำได้ลึก 10 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่ใช้ในการดำน้ำดูปะการังอะไรได้ แต่จริงๆ ถ้าลงทะเลแนะนำให้หาเคสใส่จะดีกว่าเพื่อป้องกันความเค็ม หรือถ้าไม่ใส่เคสก็ให้ล้างน้ำสะอาดทันทีที่ขึ้น
การเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth
เราสามารถต่อ Wi-Fi ตัวกล้องกับสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานเพื่อควบคุมกล้องผ่านแอปในมือถือ หรือโยนไฟล์รูปและวิดีโอจากกล้องมาที่สมาร์ทโฟน แต่จะมีความต่างเรื่องของสเปคเมื่อเทียบกับ Hero 6 ที่ใช้ Wi-Fi แบบ 5 GHz ส่วน GoPro Heroใหม่ จะเป็นแบบเก่า 2.4 GHz ที่มีความเร็วน้อยกว่า แต่เวลาการใช้งานจริงก็อาจจะไม่รู้สึกขัดใจมาก เพราะขนาดไฟล์ที่ถ่ายได้นั้นไม่ใหญ่มาก จึงใช้เวลาในการโอนข้อมูลไม่นาน
ส่วนตัว Bluetooth ก็มีมาให้เหมือนกัน เพื่อใช้งานคู่กับอุปกรณ์เสริมประเภทรีโมทคอนโทรลเพื่อสั่งถ่ายภาพจากระยะไกลได้ (รองรับเฉพาะรีโมททั่วไป ไม่รองรับตัว Smart Remote ที่สั่งถ่ายด้วยเสียงได้)
สั่งงานด้วยเสียง
ฟีเจอร์การใช้งาน ที่เราสามารถพูดคำสั่งให้กล้องทำงานได้ มีใช้งานได้ทั้งหมด 12 ชุดคำสั่ง เช่น สั่งเริ่มหยุดอัดวิดีโอ, ถ่ายภาพ, เลือกเปลี่ยนโหมด และสั่งปิดกล้อง จะแตกต่างจากรุ่น Hero 6 ตรงที่ไม่มีคำสั่งเปิดเครื่อง และที่สำคัญคำสั่งตอนนี้ไม่มีรองรับภาษาไทย ใช้เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
คุณภาพของไฟล์วิดีโอและภาพถ่าย
สามารถเลือกคุณภาพของวิดีโอได้ที่ 1080p (60FPS) และ 1440p (60FPS) แค่ 2 ขนาดเท่านั้น ต่างจากรุ่น 5 ที่เลือกได้ถึง 4K (30FPS) และรุ่น 6 ที่ 4K (60FPS) และก็ไม่มีโหมดถ่ายวิดีโอที่เฟรมเรตระดับสูงอย่าง 120FPS และ 240FPS ทำให้วิดีโอที่ถ่ายมาไม่สามารถเอาไปใช้ทำโหมดภาพ Slo-mo เคลื่อนไหวช้าได้
การถ่ายภาพนิ่ง (Photo) สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล น้อยกว่ารุ่น 5 และ 6 ที่ถ่ายได้ 12 ล้านพิกเซล ส่วนเรื่องมุมมองในการถ่าย FOV (Field of View) ก็เลือกได้ 3 ระดับคือ กว้าง, ปานกลาง และแคบ ที่ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี
โหมดการถ่ายภาพต่างๆ
นอกจากโหมดถ่ายวิดีโอและถ่ายภาพนิ่งแล้ว ยังมีให้เลือกถ่ายได้อีก 3 โหมดด้วยกันคือ วิดีโอแบบ Time-lapse ที่ตั้งค่าอัตโนมัติทุก 0.5 วินาที (ปรับค่าไม่ได้), การถ่ายภาพแบบรัว (Burst) ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ที่ความเร็ว 10 ภาพต่อวินาที และการถ่ายภาพแบบ Time-lapse ที่ช่วงเวลาทุก 0.5 วินาที โดยจะมีหลายโหมดโดนตัดออกไป เช่น ถ่ายวิดีโอแบบ Looping, การถ่ายภาพและวิดีโอ Time-lapse กลางคืน (Night mode)
ระบบลดการสั่นไหวของภาพ
ในตัว GoPro Heroใหม่ ก็มีระบบลดการสั่นไหวของภาพระหว่างการบันทึกวิดีโอใส่มาให้ด้วยเช่นกัน ซึ่งทำได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับรุ่น Hero 5 โดยเมื่อเลือกเปิดโหมดลดการสั่นไหว ตัวมุมมองของภาพที่บันทึกจะถูกลดเข้ามาประมาณ 5-10%
การระบุพิกัด GPS
ใน Hero 5 และ 6 นั้นมีตัวระบบกำหนดพิกัดดาวเทียม GPS มาด้วย แต่ใน GoPro Heroใหม่ ถูกเอาออกไปเพื่อลดต้นทุน ทำให้การบันทึกภาพหรือวิดีโอไม่สามารถเก็บค่าพิกัดได้ จึงทำให้ไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ในการตัดต่อด้วย Quik บนคอมพิวเตอร์ ที่สามารถเอาค่าพิกัด, ความเร็ว, ระยะทาง ฯลฯ มาแสดงผลเป็น HUD ระหว่างเล่นวิดีโอได้
การใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน
สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนระบบ iOS และ Android ได้ ผ่านทางแอพพลิเคชั่น GoPro และมีการทำงานคู่กับ Quik แอพที่ช่วยการตัดต่อคลิปวิดีโอให้เป็นคลิปสั้นได้อย่างรวดเร็วและง่ายมากๆ
แอพ GoPro นอกจากเอาไว้ดูภาพที่อยู่ในเมมโมรี่ของกล้องแล้ว ยังใช้จัดการด้านลบแก้ไข และก็อปปี้มาไว้ที่สมาร์ทโฟน เพื่อเอาไปใช้ตัดต่อหรือแชร์ได้ รวมถึงยังใช้เป็นรีโมทควบคุมพร้อมเป็นจอภาพสั่งงานจากสมาร์ทโฟนได้ด้วย
ประสบการณ์หลังทดลองใช้งาน
เช็คสเปคเทียบกับรุ่นก่อนเรียบร้อยแล้ว ก็เอามาลองใช้งานดู โดยผมลองเทียบกับตัวท็อปอย่าง Hero 6 Black การถ่ายวิดีโอเลือกปรับมาที่ความละเอียดเท่ากับรุ่น GoPro Hero คือ 1080p 60FPS
สิ่งที่เห็นถึงความแตกต่างอย่างแรกเลยก็คือ สีของภาพทั้งการถ่ายภาพและวิดีโอ ของทาง Hero 6 นั้นสีสดใสกว่ามาก โดยเฉพาะท้องฟ้านี่เฉดไล่สีน้ำเงินสวยงามกว่า GoPro Hero อย่างชัดเจน สาเหตุก็เพราะว่าใน Hero 6 นั้นมีโหมดปรับค่าสีภาพแบบ HDR ที่เร่งสีให้สวยสด
ตัวไฟล์ที่บันทึกนั้น GoPro Heroจะบันทึกได้เฉพาะไฟล์พื้นฐานที่เป็น MP4 (วิดีโอ) และ JPG (รูปภาพ) ไม่สามารถเก็บไฟล์คุณภาพสูงแบบ RAW ได้ ทำให้ไม่สามารถเอาไปใช้งานในระดับโปรดักชั่นที่ต้องความละเอียดได้
ต่อมาที่เรื่องของระบบการกันสั่นไหวของภาพ ระหว่างการบันทึกวิดีโอ ผมทดสอบด้วยการถ่ายซีนเดินถือตามปกติ พบว่าระบบ Stabilization ของ Hero6 ทำได้ดีกว่ามาก คือแทบไม่เห็นการสั่นไหวระหว่างที่เดิน แต่ใน GoPro Heroใหม่ เองยังจะมีเห็นเฟรมที่ขยับไปมาอยู่บ้าง ซึ่งถ้าอยากให้นิ่งกว่านี้ต้องไปผ่านแอพพลิเคชั่นในคอมพิวเตอร์ช่วยลดเพิ่มอีกที
การบันทึกเสียงทั้ง 2 รุ่น ผมว่าทำได้ใกล้เคียงกัน มีระบบตัดเสียงลมและเสียงรบกวนที่ทำได้ค่อนข้างดี และเก็บเสียงสภาพรอบข้างได้แบบสเตอริโอ แต่ถ้าถ่ายในสภาพที่มีลมตีหนักๆ ก็ยังคงมีเสียงเข้ามาอยู่เยอะเช่นกัน และถ้าใครอยากจะใช้เป็นการต่อไมโครโฟนแยกก็สามารถทำได้ทั้ง 2 รุ่น แต่จะต้องหาซื้อตัวอแดปเตอร์แปลง USB-C เป็นช่องไมค์มาเสียบเพิ่มอีกที
เปรียบเทียบภาพถ่ายระหว่าง GoPro Hero กับ Hero 6 Black
ความแตกต่างแรกเลยคือการเก็บรายละเอียด Hero 6 ที่เป็น 12 ล้านพิกเซล เก็บดีเทลของภาพได้ดีกว่า ทั้งในส่วนที่แสงจ้า และการปรับสีของท้องฟ้าก็ชัดเจนกว่า
ในกณีที่ภาพมีการเปรียบต่างของความสว่างและมืดมากๆ จะเห็นว่า GoPro Hero จะมีเรื่องความเพี้ยนของโทนสี (อย่างที่เห็นว่าจะอมเหลือง) และส่วนที่เป็นเงามืดเองก็เก็บรายละเอียดของภาพและสีได้น้อยกว่า
คราวนี้เป็นการลองถ่ายในสภาพย้อนแสงอีกเช่นกัน การปรับสีทั้งในส่วนสว่างและในเงามืด Hero 6 ทำได้ดีกว่าค่อนข้างชัดเจน
GoPro Hero เหมาะสำหรับใคร?
หลังจากได้ทดสอบลองใช้ อาจจะไม่นานมากนัก ประมาณ 1 สัปดาห์เพื่อ รีวิว GoPro Hero รุ่นใหม่ตัวนี้ ด้วยการที่เป็นรุ่นราคาประหยัดตัดสเปคออกไปเยอะพอสมควร แต่ก็เน้นประสิทธิภาพที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป สำหรับคนที่ต้องการเอาไว้ใช้บันทึกภาพและวิดีโอระหว่างการท่องเที่ยวหรือเดินทาง เพราะว่ามันเล็ก พกพาสะดวก หยิบจับขึ้นมาถ่ายได้รวดเร็ว และแบตเตอรี่ที่อยู่ได้ค่อนข้างนาน
ถ้าเอาไปเทียบกันรุ่นพี่อย่าง Hero 6 ก็รู้สึกได้เลยว่ามันด้อยลงไปเยอะพอสมควร แต่ก็อย่าลืมว่าราคาค่าตัวของมันก็ต่างกันครึ่งๆ เลย ดังนั้น GoPro Hero จึงเหมาะสำหรับคนที่เริ่มอยากใช้กล้องแอคชั่นแคมของโกโปร ในราคาที่ถูกที่สุด ที่เน้นแค่ว่าใช้เป็นกล้องสำหรับเก็บภาพหรือวิดีโอทั่วไป ไม่ได้ต้องการได้ไฟล์คุณภาพระดับสูง แค่ถ่ายเอาไว้ดูหรือแชร์ในโซเชียลก็พอแล้ว
เพราะนอกจากจะได้ตัวฮาร์ดแวร์กล้องคุณภาพระดับ GoPro ที่ผลิตมาได้มาตรฐานดีกว่ากล้องแอคชั่นแคมของจีนบางรุ่นที่ราคาถูกก็จริง แต่คุณภาพและความทนทานนั้นค่อนข้างต่ำ ตัว GoPro ยังมีแอพพลิเคชั่นสำหรับจัดการไฟล์ภาพวิดีโอเพื่อตัดต่อและเอาไว้แชร์ได้อย่างสะดวกรวดเร็วมาให้ด้วย ด้วยราคาขายเปิดตัวในไทยที่ 7,200 บาท ก็ถือว่าคุ้มกับค่าตัวที่ได้มาอยู่
สรุปคือถ้าต้องการใช้แอคชั่นแคมแบบจัดเต็ม คุณภาพสูง ถ่ายรูปถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง แนะนำรุ่น Hero 6 ไปเลย แต่ถ้าแบบแค่อยากเอาไว้ใช้ทั่วไป อยากได้กล้องไว้ถ่ายใต้น้ำสนุกๆ เอาไว้ติดหมวกจักรยานเก็บภาพระหว่างเส้นทาง และไม่อยากจ่ายแพง แนะนำเลือกเป็นGoPro Hero ไปเลยครับ
ขอขอบคุณ บ.เมนทาแกรม ตัวแทนจำหน่ายสินค้าโกโปรในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ สำหรับตัวกล้อง GoPro Hero สำหรับทดลองใช้