ผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่เปิดตัวในงาน Apple Special Event เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม คือ New MacBook Air 2018 การปรับโฉมใหม่ของ MacBook Air ที่หลายคนคิดว่า แอปเปิ้ลเลิกทำตลาดไปแล้ว โดย Macbook Air ใหม่นี้มีความเบากว่าเดิม ปรับสเปคภายใน หน้าจอใช้ Retina Display, Touch ID, คีย์บอร์ดรุ่นล่าสุด และแทร็คแพด Force Touch ที่สำคัญ ยังใช้วัสุดเครื่องจากอลูมิเนียมรีไซเคิล 100% อีกด้วย
New MacBook Air 2018 การกลับมาของแม็คบุ้คสุดเบาที่ทุกคนหลงรัก
MacBook Air นั้นเปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในงานเปิดตัวครั้งแรกหลายคนอาจจะจำกันได้ ที่สตีฟ จ็อบส์ หยิบมันออกมาจากซองกระดาษเอกสาร โชว์ให้เห็นถึงความบางและเบา เรียกได้ว่าในยุคนั้นไม่มีคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปรุ่นไหนผลิตออกมาได้บางและมีน้ำหนักเบาขนาดนี้ได้ จนสุดท้ายในตลาดก็พัฒนาไล่ตามมาทั้งเรื่องของดีไซน์และการทำน้ำหนักให้เบาลง
ก่อนหน้านี้ แอปเปิ้ลออก MacBook Air และมีอัปเดทสเปคใหม่รวม 5 ครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ทำาการอัปเดทนั้นคือปี 2013 และผ่านมา 5 ปีจนหลายคนคิดว่าแอปเปิ้ลจะเลิกผลิต MacBook Air ไปแล้ว เพราะหลังจากนั้นก็มีออก MacBook ที่มีขนาดเล็กและเบากว่าออกมาด้วย ทำเอาหลายคนงงว่า แล้ว MacBook Air จะอยู่ในสถานะไหนกันดี
ในครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่แฟนๆ แมคยินดีไม่น้อย ที่แอปเปิ้ลกลับมาทำตลาด MacBook Air อีกครั้ง โดยการปรับสเปคที่ด้อยให้ดีขึ้นทุกด้าน พร้อมเสริมประสิทธิภาพต่างๆ ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
หน้าจอเปลี่ยนมาเป็น Retina Display
สิ่งที่คนใช้ MacBook Air บ่นกันมากที่สุดคือความละเอียดของหน้าจอนั้นต่ำมาก เป็น 13.3 นิ้วแต่ละเอียดแค่ HD โดยใน MacBook รุ่นอื่นๆ ของแอปเปิ้ลต่างเปลี่ยนเป็น Retina Display กันหมดแล้ว ใน New MacBook Air 2018 ก็จัดการเปลี่ยนเป็น Retina Display (2560 x 1600)ให้เรียบร้อย ชัดกว่ารุ่นก่อน 4 เท่า และให้สีสันดีกว่าเดิม 48%
เพิ่ม Touch ID ระบบสแกนลายนิ้วมือ
ที่ปุ่ม Power เปิดเครื่องนั้น เพิ่มเซนเซอร์ Touch ID สำหรับสแกนลายนิ้วมือมาให้เหมือนกับในรุ่น MacBook Pro ที่เราเอาไว้ใช้ในการปลดล็อคเครื่อง หรือเข้าถึงไฟล์เอกสาร, โน้ต หรือการตั้งค่าระบบที่ล็อคเอาไว้โดยไม่ต้องเสียเวลาใส่ Password
โดยการทำงานด้านความปลอดภัยนี้ มาพร้อมกับ Apple T2 Security ชิพรุ่นที่ 2 ที่ Apple ออกแบบขึ้นสำหรับ Mac โดยเฉพาะ เพื่อการทำงานด้านความปลอดภัยและเข้ารหัสข้อมูล รวมถึงการทำงานคำสั่งเสียงกับ Siri ได้อย่างรวดเร็ว
คียบอร์ดใหม่ และ TrackPad ใหญ่เบิ้ม
อัปเดทครั้งนี้ก็เปลี่ยนมาใช้คีย์บอร์ดแบบ Butterfly เวอร์ชั่นที่ 3 ที่เนียนนุ่มพิมพ์สนุก และไม่มีปัญหาการใช้งาน ด้านหลังมีไฟแบ็คไลท์แบบ LED ให้เรียบร้อย ส่วนตัวแป้น TrackPad ก็ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 20% รองรับ Force Touch ตอบสนองแรงกดได้สม่ำเสมอและแม่นยำ
เครื่องบาง น้ำหนักเบา แต่สเปคไม่ธรรมดา
ตัวเครื่องมีความบางอยู่เพียงแค่ 15.6 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 1.25 กิโลกรัม แต่สเปคภายใน ใช้โปรเซสเซอร์ Intel Core i5 รุ่นที่ 8 ใหม่ล่าสุด RAM ที่ตอนนี้เพิ่มได้สูงสุดถึง 16GB ตัวเก็บข้อมูลก็เปลี่ยนมาใช้เป็น SSD ที่ให้เลือกความจุได้สูงสุด 1.5TB
ส่วนการใช้งานแบตเตอรี่ก็ยังคงเรื่องความอึดและใช้งานได้ตลอดทั้งวัน โดยในสเปคจะสามารถใช้งานได้สูงสุดถึง 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ Thunderbolt 3
อันนี้ก็จะเหมือนกับ MacBook Pro รุ่นล่างสุด คือจะมีพอร์ต USB-C มาให้ 2 ช่อง ที่เป็นแบบ Thunderbolt 3 รวมการใช้งานทั้งเอาไว้ชาร์จแบตเตอรี่, ต่อออกจอภาพ, เชื่อมต่อตัวจัดเก็บข้อมูลภายนอก และโอนถ่ายข้อมูลกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ทำความเร็วได้สูงสุด 40Gb/s
ระบบเสียงดีขึ้นกว่าเดิม
New MacBook Air 2018 ใช้เทคนิคการประมวลผลและปรับจูนเสียงแบบใหม่ ช่วยให้ตัวลำโพงสเตอริโอให้เสียงเบสดีขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า กำลังเสียงเพิ่มขึ้น 25% ตัวไมโคโฟนสำหรับสนทนาเป็นแบบเรียง 3 ตัวรับเสียงได้ดีขึ้น ส่วนกล้อง Facetime HD ที่ใช้งานสนทนาออนไลน์ได้ชัดขึ้น
ครั้งแรกกับ Mac ที่ผลิตจากอลูมิเนียมรีไซเคิล 100%
เรื่องการรักษ์โลกรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นอีกนโยบายที่แอปเปิ้ลเน้นย้ำมาโดยตลอด และผลจากการทำงานด้านรีไซเคิลวัสดุของแอปเปิ้ลมาโดยตลอด New MacBook Air 2018 ถือเป็นครั้งแรกที่ใช้อลูมิเนียมผสม ที่เอาเศษอลูมิเนียมเก่านำกลับใช้ให้ ผ่านการออกแบบทางวิศวกรรมใหม่ ทำให้ได้ตัวเครื่องที่มีความสวยงามและแข็งแกร่งไม่ต่างกับรุ่นก่อนๆ ที่เคยผลิตมา
ราคา New MacBook Air 2018 รุ่นต่างๆ
ตัวเครื่องนั้น จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีด้วยกันคือ สีเทาสเปซเกรย์, สีทองโรสโกลด์ และสีเงินซิลเวอร์ โดยจะมีเป็น 2 รุ่นหลักให้เลือกคือ
- Intel Core i5 (Gen 8) Dual-core 1.6GHz / ประมวลผลกราฟฟิค Intel UHD Graphics 617 / RAM 8GB / SSD 128GB ราคา 42,900 บาท
- Intel Core i5 (Gen 8) Dual-core 1.6GHz / ประมวลผลกราฟฟิค Intel UHD Graphics 617 / RAM 8GB / SSD 256GB ราคา 49,900 บาท
โดยจะมีเลือกปรับสเปคเพิ่มได้ ในส่วน RAM ที่เลือกเพิ่มเป็น 16GB ได้ และ SSD เลือกเปลี่ยนเป็น 256GB, 512GB และ 1.5TB ได้
กำหนดการวางขายในต่างประเทศ จะเป็นวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ ส่วนในประเทศไทยจะต้องรอทาง Apple ประกาศวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีกครั้ง