ทดสอบลองใช้ OPPO F11 Pro ที่ครั้งนี้เป็นการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น โดยเฉพาะเรื่องของการถ่ายภาพที่ทำให้สมาร์ทโฟนตระกูล F ของ ออปโป้ สมบูรณ์แบบมากขึ้น
ปีที่แล้ว 2561 OPPO F7 และ F9 ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ขายดีมากของออปโป้ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ผลักให้ออปโป้ก้าวขึ้นมาเป็นสมาร์ทโฟนอันดับ 1 ของประเทศไทยได้ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นเชื่อได้เลยว่าออปโป้เตรียม F11 Pro ไว้เพื่อสานต่อความสำเร็จในปีนี้อย่างแน่นอน
ลองสัมผัส OPPO F11 Pro
ในแพ็กเกจของ OPPO F11 Pro จะมีอุปกรณ์ให้มาครบเช่นเคย ตั้งแต่คู่มือการใช้งานเบื้องต้น, เข็มจิ้มถาดซิม, หูฟังสมอล์ทอล์ค, เคสใสแบบ TPU, สายชาร์จ+ดาต้าแบบ Micro USB และอแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบใหม่ที่รองรับระบบ VOOC 3.0 รวมถึงมีฟิล์มกันรอยหน้าจอแปะติดที่ตัวเครื่องมาให้เรียบร้อยตั้งแต่โรงงาน
ขนาดตัวเครื่อง 161.3 x 76.1 มิลลิเมตร หนา 8.8 มิลลิเมตร น้ำหนักเครื่องอยู่ที่ 190 กรัม ตัวเครื่องด้านหลังยังคงใช้เทคนิคการทำสีลวดลาย และวัสดุที่เงางาม ครั้งนี้มีเป็น 2 สีด้วยกันคือ Aurora Green และสี Thunder Black เป็นการไล่เฉด 3 สีระหว่าง แดง ดำ และ น้ำเงิน
ที่ด้านหลังของเครื่อง ที่เด่นช้ดสุดคือโมดูลกล้องหลังคู่ที่เรียงต่อกัน เป็นกล้อง 48 + 5 ล้านพิกเซล ด้านบนสุดจะเป็นไฟแฟลช LED แล้วถัดลงมาจะเป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ สังเกตดูดีๆ ที่ฝาหลังจะมีโลโก้ของ OPPO และ คำว่า “designed by OPPO” เขียนเรียงเป็นแนวนอนต่อกับชุดกล้องตรงกลางเครื่องพอดี
หน้าจอใหญ่เต็มตา Panoramic Screen
เป็นหน้าจอแบบใหม่ล่าสุดที่ออปโป้นำมาใช้ มีชื่อว่า Panoramic Screen ด้วยขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2340 x 1080 พิกเซล) อัตราส่วน 19.5:9 ที่มีความเด่นตรงที่เป็นจอเต็มพื้นที่ด้านหน้า 90.9% ของด้านหน้า และที่สำคัญคือ ไม่มีการเว้นพื้นที่ของกล้องหน้า ไม่มีติ่ง ไม่มีหยดน้ำ ไม่มีรู เป็นจอแบบเต็มๆ พื้นที่เลย
ตัวลำโพงสนทนาและเซนเซอร์ต่างๆ ถูกย่อไว้เหลือเล็กๆ อยู่ที่ขอบเครื่องด้านบน เรียกได้ว่าแทบจะสังเกตไม่เห็น ทำให้หน้าจอของ OPPO F11 Pro ดูเต็มตาดีมากๆ ความละเอียดก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ไม่ว่าจะเล่นเกม หรือดูหนัง ดู Youtube
เฟรมรอบเครื่องออกแบบโค้งมนรับกับด้านหน้าและหลังของเครื่อง ด้านข้างทางขวาจะมีปุ่มกด Power สำหรับเปิดปิดเครือ่งและหน้าจอ มีจุดสังเกตเล็กๆ ที่เป็นแถบสีเขียวดูเก๋ๆ อยู่ด้วย และมีช่องถาดซิมอยู่ด้านบนเหนือปุ่ม ส่วนทางซ้ายก็จะมีปุ่มปรับเพิ่มลดระดับเสียงอยู่ ตำแหน่งของปุ่มจัดวางไว้เหมาะถนัดพอดีนิ้วมือดี กดได้สะดวก
ตัวถาดซิมใน OPPO F11 Pro จะเป็นแบบ Hybrid ที่มีช่องซิม 1 เป็นขนาดนาโนซิม ส่วนช่องที่ 2 จะเลือกได้ว่าจะใส่ซิมเบอร์ที่ 2 หรือใส่ microSD เพื่อเพิ่มหน่วยความจำเครื่อง รองรับได้สูงสุดถึง 256GB
ด้านล่างของเครื่องมีพอร์ตหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร, รูไมโครโฟนสนทนา, พอร์ต Micro USB และลำโพง ซึ่งการวางตำแหน่งของลำโพงแบบนี้ข้อดีคือ เวลาถือเล่นเกมในแนวนอน มือของเราจะไม่บังช่องลำโพง
ส่วนที่ด้านบนเครื่องจะมีรูไมโครโฟนที่ 2 สำหรับลดเสียงรบกวน ตรงกลางที่เห็นนั้นคือกล้องหน้าแบบใหม่ของ OPPO ที่มีชื่อว่า Rising Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่ปกติจะหดตัวหลบอยู่ในเครื่อง และจะเลื่อนขึ้นมาเวลาที่เราเปิดกล้องเพื่อถ่ายเซลฟี่ หรือจะปลดล็อคเครื่องด้วยใบหน้า มีลูกเล่นเล็กๆ ที่จะมีเสียงเอฟเฟคตอนเลื่อนขึ้นเลื่อนลง ดูไฮเทคดี
ดูรอบเครื่องแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าครั้งนี้ออปโป้มีความพิถีพิถันในการออกแบบเป็นอย่างดี ทั้งการทำฝาหลังไล่เฉดสีได้ดูสวยงามหรูหรา ชุดโมดุลกล้องหลังก็นูนออกมาจากตัวเครื่องไม่มาก มองดูรอบเครื่องที่ตำแหน่งปุ่ม, พอร์ต, เซนเซอร์ และช่องต่างๆ วางกลางอยู่ในตำแหน่งสมมาตรทั้งหมด ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย และที่สำคัญคือหน้าจอ Panoramic Screen ที่ใหญ่เหยียดเต็มพื้นที่ เหลือขอบเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
สรุป สเปค OPPO F11 Pro
- ขนาด 161.3 x 76.1 x 8.8 มิลลิเมตร หนัก 190 กรัม
- หน้าจอ Panoramic Screen (IPS) ขนาด 6.5 นิ้ว FHD+ อัตราส่วน 19.5:9
- ชิปเซ็ท : MediaTek Helio P70 Octa-core 2.1 GHz
- GPU : Mali-G72 MP3
- หน่วยความจำภายในเครื่อง 64GB เพิ่ม microSD ได้สูงสุด 256GB
- แบตเตอรี่ 4,000 mAh รองรับระบบชาร์จไว VOOC 3.0
- กล้องหน้าแบบ Rising Camera 16 ล้านพิกเซล (f/2.0)
- กล้องหลังคู่ 48+5 ล้านพิกเซล (f/1.79 + f/2.4)
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 6.0 บน Android 9.0
- ระบบสแกนลายนิ้วมือด้านหลังเครื่อง
- ปลดล็อคเครื่องด้วยระบบสแกนใบหน้า
- รองรับ 2 ซิม 4G Stand by
ประสิทธิภาพ : Performance
สเปคภายในนั้น มีอัพเกรดขึ้นมาจากรุ่นก่อนพอสมควร เลือกใช้ชิปเซ็ตของ MediaTek Helio P70 ที่มีระบบประมวลผล AI ความจุในเครื่องให้มา 64GB ใส่เมมเพิ่มได้อีก 256GB และ RAM ก็ได้ถึง 6GB
โดยรวมแล้วเป็นสเปคที่อัพเดทใหม่ ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ไม่มีหนืดหรือหน่วง เปิดใช้งานได้รวดเร็ว รวมถึง RAM ที่มีเหลือเฟือแบบที่เปิดแอพทิ้งไว้ก็ไม่มีอืด ดังนั้นเรื่องการใช้งานพื้นฐานทุกอย่าง จะเล่นเน็ต แชท โซเชียล ดูหนัง เล่น Youtube ใช้ได้แบบได้ลื่นๆ ไม่มีปัญหา ส่วนแอพที่ทำงานหนักๆ อย่างด้านกราฟฟิกแต่งภาพ, วิดีโอ ก็ถือว่ายังทำงานได้ดีเช่นกัน
แบตเตอรี่ใหญ่ ชาร์จไวด้วย VOOC 3.0
สิ่งที่ขึ้นชื่อลือชาของ ออปโป้ นอกจากเรื่องดีไซน์เครื่องสวยแล้ว เรื่องแบตเตอรี่และชาร์จไวนั้น การันตีว่าจัดมาให้ดี และครั้งนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะให้แบตเตอรี่มามากถึง 4,000 mAh เหลือเฟือสำหรับการใช้งานตลอดทั้งวัน
และเมื่อมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ออปโป้ก็ให้ระบบชาร์จไวมาให้ด้วยเพื่อการใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง โดยจัดระบบ VOOC 3.0 ที่พัฒนามาล่าสุด ชาร์จได้เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 20% สามารถชาร์จไฟจาก 0% จนเต็มได้ภายในเวลาเพียงแค่ 80 นาทีเท่านั้น
นอกจากเรื่องความเร็วแล้ว VOOC 3.0 ยังถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัย ที่ป้องกันไว้ถึง 5 ชั้น และที่ประทับใจมากคือ การชาร์จที่เครื่องไม่ร้อนจี๋
Android 9.0 มาพร้อม ColorOS 6.0
อัพเดตตัวระบบปฏิบัติการมาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด Android 9.0 ที่มาพร้อมกับ ColorOS 6.0 ที่ออปโป้บรรจงปรับแต่ง ตั้งแต่หน้าตาที่ดูสะอาดตา และมีเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานให้สมาร์ทโฟนฉลาดขึ้น ด้วยการทำงานประสานกับ AI ใช้งานได้สะดวกมากขึ้น
- Smart Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่เรียกใช้งานได้จากหน้าขวาสุดของหน้าโฮม ที่รวบรวมเมนูคำสั่ง ข้อมูล และฟังค์ชั่นที่จำเป็นไว้ที่เดียว ตั้งแต่อุณหภูมิ, ตารางนัดหมาย, นับจำนวนก้าวเดินในแต่ละวัน, จัดการแกลลอรี่รูปภาพ ฯลฯ ที่เราเลือกปรับแต่งเองได้
- Smart Side Bar เมนูลัดที่ซ่อนอยู่ที่ขอบจอ ปัดเรียกออกมาเพื่อเรียกใช้งานได้ด่วนๆ ทั้งเปิดกล้อง, เปิดแอพ และเลือกเพิ่มคำสั่งที่ใช้บ่อยไว้ได้
- Smart Riding การปรับโหมดใช้งานระหว่างเดินทางด้วยพาหนะ ที่มีเพิ่มเติมนอกจากการขับรถ เป็นโหมดการใช้งานระหว่างที่ปั่นจักรยานมาให้ด้วย
- OPPO Cloud นำเอาระบบคลาวด์มาช่วยจัดการการทำงานของสมาร์ทโฟน ตั้งแต่พื้นฐานด้านการแบ็คอัพข้อมูล, เบอร์โทร, รูปภาพ โดยที่ตัวคลาวด์จะมีความฉลาด ในการช่วยบริหารพื้นที่บนเครื่อง เคลียร์ความจุในเครื่องให้เมื่อมีพื้นที่เหลือน้อย ซึ่งจะมีพื้นที่คลาวด์ให้ใช้ฟรี 5GB
Hyperboost บริหารจัดการทำงาน รีดพลังให้ใช้งานได้ไหลลื่น
ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาใน ColorOS 6.0 ที่จะทำงานเบื้องหลังของระบบ ที่มี AI คอยดูว่าการทำงานของเครื่องตอนนั้นมีความต้องการทรัพยากรของเครื่องมากน้อยเพียงใด โดยจัดลำดับของแอพให้เหมาะสมกับการใช้งานโดยอัตโนมัติ ช่วยให้ประสิทธิภาพของเครื่องไหลลื่นกว่าเดิมถึง 31.9%
Hyperboost จะเข้ามาดูแลการทำงาน 3 ส่วนด้วยกันคือ System, แอพ และการเล่นเกม ระบบจะจัดการเคลียร์ทั้งเรื่อง RAM และการทำงานของ CPU เพื่อการใช้งานแต่ละส่วนอย่างเหมาะสม
ที่เด่นมากๆ คือเรื่องของการเล่นเกม Hyperboost จะทำการจัดสรรทรัพยากรของเครื่องให้เล่นเกมที่กราฟฟิกสูงๆ ได้ไหลลื่น ไม่มีสะดุด ผมลองเล่นกับเกมยอดฮิตอย่าง ROV ก็เห็นได้ชัดเจนเลยว่า เฟรมเรตนั้นนิ่งมากๆ ปรับสุดแล้วก็ยังวิ่งที่ 60-61fps เลยทีเดียว
ระบบนี้ถือว่ามีประโยชน์มาก เพราะทำให้ตัวเครื่องตอบสนองการทำงาน สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้สมาร์ทโฟน ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดี ไม่ว่าจะใช้งานทั่วไป ใช้งานแอพต่างๆ หรืองานหนักๆ อย่างเล่นเกม
ครั้งแรกกับกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล Rising Camera
นวัตกรรมใหม่ที่ออปโป้นำมาใช้กับ F11 Pro เพื่อตอบโจทย์เรื่องหน้าจอ Panoramic Screen ที่ไม่ต้องการใหม่มีเว้นติ่ง หรือเจาะรูบนจอ จึงต้องเอากล้องหน้าไปไว้ที่อื่น และระบบกล้องแบบ Rising Camera จึงถึงนำมาใช้ เพื่อเก็บเอากล้องหน้าซ่อนไว้ในเครื่อง แล้วค่อยยืดขึ้นมาเมื่อต้องการใช้งาน
หลายคนที่กังวลกว่า ตัวระบบกล้องแบบนี้มันจะมีปัญหาเรื่องความคงทนหรือไม่ จากการทดสอบในห้องแล็ปของออปโป้ ตัวกล้องแบบนี้สามารถใช้งานได้นานกว่า 6 ปี โดยคำนวนเฉลี่ยกดกล้องขึ้นลงวันละ 100 ครั้ง เรียกได้ว่านานหายห่วงไปได้เลย
ทีเด็ดที่ว้าวมากๆ คือออปโป้ใส่ใจกับการออกแบบระบบกล้อง Rising Camera โดยเอาระบบใน Find X มาใช้ กรณีที่เปิดใช้งานกล้องอยู่ แล้วเกิดเหตุไม่คาดคิด กล้องหล่นหรือหลุดมือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการตกกระแทก ออปโป้ใช้เซนเซอร์ในเครื่องตรวจจับได้ว่าถ้าเกิดเครื่องหลุดมือร่วงพื้น โดยที่กล้องหน้ายังเปิดอยู่ มันจะทำการหดกล้องเก็บให้อัตโนมัติก่อนที่เครื่องจะกระแทกพื้น ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่เจ๋งมากๆ เลย
กล้องหลังคู่ 48 + 5 ล้านพิกเซล ยกระดับ OPPO F11 Pro สู่ “Brilliant Portrait”
ไฮไลท์สำคัญของรุ่นนี้ก็คือ กล้องหลังคู่ ที่จัดมาให้ความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล ทำงานคู่กับกล้องวัดระยะ 5 ล้านพิกเซล เพื่อใช้งานในการถ่ายภาพ Portrait ให้ดีขึ้นกว่าเดิม
กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซลนั้นใช้เทคโนโลยี Tetracell เพิ่มพื้นที่รับแสงแต่ละจุดให้ใหญ่ขึ้น 4 เท่าในสภาพแสงน้อย เพื่อตรวจจับแสงและบันทึกรายละเอียดของภาพที่ดีขึ้น
หน้าตาของเมนูกล้องจะมีการเปลี่ยนไปเล็กน้อย ที่จะเอาโหมดต่างๆ ไปย่อเก็บไว้ที่ปุ่มด้านข้าง โดยจะมีให้เลือกทั้ง Photo, Video, Portrait, Panorama, Expert, Time-lapse, Slomo และ Night
โหมด Photo สำหรับถ่ายภาพ จะมีระบบ AI Scene Recognitionที่ตรวจจับภาพและปรับโปรไฟล์การถ่ายให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นภาพวิวทิศทัศน์, อาคาร, อาหาร, สัตว์เลี้ยง, บุคคล, กลางคืน, ทะเล, ท้องฟ้า, ดอกไม้, ต้นไม้ ฯลฯ เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถถ่ายภาพออกมาสวยดูดีได้ทุกรูป โดยไม่ต้องเสียเวลาปรับตั้งค่าใดๆ
พร้อมทั้งมีเพิ่ม Dazzle Mode ที่มาช่วยปรับเร่งสีของภาพให้มีความสดใสเพิ่มขึ้น ปรับเรื่องสภาพแสงในภาพให้เหมาะสม ที่เลือกเปิดปิดได้ที่เมนูด้านบนของกล้อง เหมาะสำหรับเอาไว้ถ่ายภาพที่มีสีสันเยอะๆ , วิวทิวทัศน์ ดอกไม้ ต้นไม้ ท้องฟ้า จะได้ภาพที่สวยแบบไม่ต้องเข้าแอปแต่งเลย (Dazzle Mode จะใช้งานไม่ได้ในความละเอียด 48MP นะ)
โหมด Expert สามารถปรับค่าได้อิสระ ทั้งค่ารูรับแสง (100-3200), ความเร็วชัตเตอร์ 1/8000 – 13 วินาที), White Balance, โฟกัส และปรับชดเชยแสง ช่วยให้ถ่ายภาพแบบกล้องโปรได้ อย่างเช่นการถ่ายไฟวิ่ง Light trail หรือถ่ายเพื่อปรับระยะโฟกัสเอง
ใน OPPO F11 Pro มี Ultra Night Mode (Night) แบบใน R17 Pro มาให้ด้วยครับ ที่จะเป็นการถ่ายภาพช็อตเวลากลางคืนหรือแสงน้อย กล้องจะเก็บภาพหลายๆ ภาพภายใน 1-4 วินาที เราถ่ายภาพแล้วถือให้นิ่งๆ ไว้สักพัก ระบบจะทำการรวมภาพให้เป็นภาพเดียว ได้ภาพที่มีรายละเอียดชัดเจน มีสีสันทั้งภาพ
หรือแม้แต่การถ่ายภาพทั่วไปในสภาพแสงน้อย เวลากลางคืน หรือสภาพแสงที่หลากหลาย เช่นคอนเสิร์ต เวที กล้องของ OPPO F11 Pro สามารถบริหารจัดการแสงในการถ่ายภาพออกมาได้ดีเลยทีเดียว แค่หยิบมือถือขึ้นมา แตะหาโฟกัสที่ต้องการ แล้วก็ถ่ายเลย แค่นี้ก็ได้ภาพสวยๆ ทันที
ทีเด็ดสุดเลยคือ การถ่ายภาพ Portrait นั้นดีขึ้นมาก โดยเฉพาะเวลาที่ถ่ายในสภาพแสงน้อย ด้วยตัวกล้องที่ให้รูรับแสงที่กว้าง f/1.79 รวมไปถึงระบบ AI ที่เข้ามาจัดการลดเรื่อง Noise ในภาพให้น้อยลง รวมถึงการแยกแยะใบหน้าของคนจากฉากหลัง แล้วทำการปรับแต่งแสงและรายละเอียดบนใบหน้าให้ส่วนโดดเด่นขึ้นมา
โดยการปรับนั้นจะอยู่ในระดับที่เป็นธรรมชาติ ไม่ได้โดดเด้งจนรู้สึกเพี้ยนหรือหลอก รูปบุคคลเวลาถ่ายกับสภาพแสงน้อย เราจะเห็นรายละเอียดในพื้นที่เงา ส่วนที่สว่างก็ไม่ได้ขาวโพลน และการปรับบิวตี้ก็ดีเป็นธรรมชาติด้วย
สรุป! OPPO F11 Pro แจ่มแจ๋วโดนใจขนาดไหน
ซีรี่ย์ F ของออปโป้นั้น ถือว่าเป็นรุ่นขึ้นชื่อและได้รับความนิยมมากที่สุด และครั้งนี้ออปโป้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย การออกแบบตัวเครื่องที่ดูสวยงามพรีเมี่ยมทั้งการเล่นเฉดสี การจัดวางปุ่ม, พอร์ต, ช่องต่างๆ ได้สวยงามแบบ Symmetry สมมาตรอย่างปราณีต หน้าจอ Panoramic Screen ที่ใหญ่เต็มจริงๆ เหลือขอบไม่มาก และยังถือได้ถนัดมือ ไม่มีการมือล้นไปลั่นทัชในจอโดยไม่ตั้งใจ
พอร์ตเชื่อมต่อที่เป็น Micro USB ที่หลายๆ คนเห็นแล้วแอบบ่นว่าทำไมไม่ใช้เป็น USB-C ส่วนตัวถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่มากนัก เพราะ F11 Pro นั้นมี VOOC 3.0 ที่ชาร์จไฟได้เร็วมาก ชนิดที่ว่า เร็วกว่าสมาร์ทโฟนเรือธงบางรุ่นที่ใช้ USB-C เสียด้วยซ้ำ
กล้อง Rising Camera วางไว้ตำแหน่งตรงกลาง กลไกทำงานได้รวดเร็ว แข็งแรง ส่วนกล้องหลัง 48 ล้านพิกเซลอันนี้ดีจริง ถ่ายภาพได้คุณภาพที่ดีกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเรื่อง Portrait และถ่ายในสภาพแสงน้อย จัดการภาพออกมาได้ดูดีแบบไม่ต้องแต่งอะไรเพิ่มเลย
ส่วนที่ติเรื่องถ่ายภาพมีเรื่องเดียวเลยคือ ตัวลายน้ำของกล้อง ที่ทำเป็นตัวหนังสือติดที่มุมซ้ายของภาพ ดูเรียบไปหน่อย แอบชอบแบบเก่าที่เป็นโลโก้เก๋ๆ มากกว่า แต่ไงถ้าไม่ชอบก็เลือกปิดไปได้
อัพเดท ราคา OPPO F11 Pro
- OPPO F11 Pro (RAM 6 GB ROM 128 GB) ราคา 10,490 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี Thunder Black, Aurora Green และ Waterfall Gray
- OPPO F11 Pro (RAM 6 GB ROM 64 GB) ราคา 9,990 บาท มีให้เลือก 2 สี Thunder Black และ Aurora Green