OPPO F11 Pro สมาร์ทโฟนระดับราคาหมื่นบาทต้นๆ ที่น่าจับตามองอีกรุ่น ครั้งนี้ OPPO ใส่นวัตกรรมใหม่ให้มาเต็มที่ แถมดีไซน์สวยหรูยิ่งกว่าเดิม หลังจากได้ลองใช้เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน เราจะมาลองสรุปประสบการณ์ดูว่ารุ่นนี้มีอะไรเด่นที่น่าสนใจบ้าง
ดีไซน์ฝาหลัง Triple-Color Gradient
ออปโป้ถือว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำฝาหลังแบบไล่เฉดสี ด้วยการใช้ซ้อนชั้นฟิล์ม ให้เกิดมิติและการเหลื่อมของสีเมื่อมีแสงมากระทบในองศาที่ต่างไป ซึ่งใน F11 Pro จะมี 2 สีด้วยกันคือ สีเขียว Aurora Green และสี Thunder Black ที่ใช้เทคนิคแบบ Triple-Color Gradient ไล่เฉดกัน 3 สี
โทนสีของ Thunder Black ดูสวยแปลกดีครับ ไม่ได้หวือหวาหรือมีรายละเอียดมาก แต่เวลาโดนแดดหรือมีแสงสะท้อน ให้ความรู้สึกดูดีพรีเมี่ยม
หน้าจอ Panoramic Screen สวยๆ ไม่มีติ่ง
ปีที่แล้ว เราเริ่มทำใจยอมรับเจ้าติ่งกล้องที่เว้นไว้ด้านบนของจอได้ในระดับนึงแล้ว แต่มาปีนี้ OPPO ก้าวไปอีกขั้น บ๊าย บาย นาย Notch เพราะเปลี่ยนมาใช้จอแบบใหม่ ที่เรียกว่า Panoramic Screen ที่ใหญ่ 6.5 นิ้ว แบบเต็มๆ พื้นที่ด้านหน้า 90.9% และไม่มีติ่งเว้นไว้สำหรับกล้องหน้าหรือเซนเซอร์อะไรทั้งสิ้น
ข้อดีก็คือ เรากลับไปมีความสุขกับจอเต็มๆ แบบไม่มีเว้นแหว่งอะไรอีกครั้ง แต่ดีกว่าเดิมด้วยขนาดที่ใหญ่กว่ามาก ทำให้เวลาดูหนังหรือเล่นเกม เล่นได้เต็มตา
RAM 6GB ROM 64GB ใช้งานได้ลื่นๆ
สเปคของ OPPO F11 Pro ใช้ชิปเซต MediaTek Helio P70 Octa-core 2.1 GHz ตัว RAM 6GB ROM 64GB การใช้งานทุกอย่างในแต่ละวัน เล่นได้ลื่นๆ ไม่มีสะดุด ไม่มีหน่วงโหลดนานให้รำคาญ
แบตเตอรี่ 4,000 mAh ใช้ได้เต็มๆ วัน
ความจุของแบตเตอรี่ ถือว่าใหญ่พอกินพอใช้ อยู่ได้เต็มวันได้สบายๆ ผมทดสอบใช้งานโดยใช้เป็นเครื่องหลัก ในแต่ละวันใช้งานเล่นโซเชียล เช็คเมล์ เล่นเกมบ้างเล็กน้อย และมีใช้ถ่ายรูป
แบตเตอรี่ 4000 mAh นั้น อยู่ได้ตั้งแต่เช้าถึงเย็นได้สบายๆ ไม่ต้องห่วงว่าแบตจะหมดไปได้เลย
OPPO F11 Pro มาพร้อม VOOC Flash Charge 3.0
สิ่งดีงามของ OPPO ที่ขึ้นชื่อลือชา คือระบบชาร์จไว ที่เร็วและปลอดภัย ในเวอร์ชั่นใหม่ 3.0 นี้ เราสามารถชาร์จแบต 4000 mAh ของ F11 Pro จาก 0% ให้เต็มได้ภายในเวลา 80 นาที เท่านั้น เร็วกว่า VOOC รุ่นก่อนถึง 20% และตัวอแดปเตอร์ชาร์จก็มีขนาดเล็ก พกพาไม่ลำบาก
กล้องหน้า Rising Camera แบบล้ำๆ
นวัตกรรมที่ทำให้หน้าจอไม่มีติ่ง เพราะเอากล้องไปซ่อนไว้ที่อื่นแทน ใครที่เป็นแฟน OPPO จะรู้ว่าเจ้านี้เก่งเรื่องออกแบบระบบกล้องที่แหวกไม่เหมือนใคร ก่อนหน้านี้มีอย่างในซีรี่ย์ N หรือปีที่แล้วก็มี Find X ที่เลื่อนเพื่อใช้งานกล้อง
ตัว Rising Camera จะซ่อนกล้องหน้าเอาไว้ที่ด้านในเครื่อง พอเราจะใช้งาน กดปุ่มสลับมาใช้กล้องหน้า หรือใช้เพื่อปลดล็อคเครื่อง การทำงานรวดเร็วกดปุ๊บเลื่อนขึ้นมาปั้บ ถือว่าการออกแบบกล้องตัวนี้ตอบโจทย์ใช้งานได้ดีเลยทีเดียว
กล้องหลัง Dual Camera 48MP + 5MP ใช้ง่าย ถ่ายอะไรก็สวย
ตอนนี้หลายแบรนด์จัดกล้องหลังเยอะขึ้นเรื่อยๆ มี 3 กล้องบ้าง บางรุ่นก็ 4 กล้อง แต่ใน OPPO F11Pro ยังใช้เป็นแบบกล้องคู่อยู่ ที่น่าสนใจคือตัวกล้องหลัก อัพเกรดมาใช้เซนเซอร์ความละเอียดถึง 48 ล้านพิกเซล และรูรับแสงกว้าง f/1.78
ลูกเล่นของกล้องนั้น โหมดการถ่ายอาจจะไม่มีดีเยอะมาก แต่มีทุกโหมดที่ต้องการใช้ครบถ้วน ตัวโหมดถ่ายภาพหลัก AI ทำงานได้ค่อนข้างฉลาดและรวดเร็ว ทำให้เวลาอยากถ่ายอะไรก็ไม่ต้องคิดมาก หยิบขึ้นมาเล็งเฟรมภาพ แตะเลือกโฟกัส แล้วก็กดถ่ายแช๊ะ! ถือว่าโหมดถ่ายภาพออโต้นั้นพึ่งพาได้ดีเลยล่ะ
OPPO F11 Pro ถ่ายภาพ Portrait ได้สวยแม้ว่าสภาพแสงจะไม่เป็นใจ
ถือว่าเป็นไฮไลท์ตัวโตๆ และประทับใจที่สุด OPPO ชูเรื่องการถ่ายภาพบุคคล Portrait ด้วยกล้องหลังของรุ่นนี้เป็นไม้ตาย ซึ่งทำได้ดีสมราคาคุยมาก การถ่าย Portrait ใน F11 Pro นั้น แค่เลือกโหมดแล้วก็ถ่ายเลย ไม่ต้องปรับต้องแต่ค่าอะไร
ตัวกล้องคู่สามารถแยกแยะแบบกับฉากหลังได้ค่อนข้างแม่นยำ ตัดขอบชัดและในส่วนที่ควรต้องเบลอก็ทำได้ดี
และที่ดีอย่างเห็นได้ชัดคือเรื่องการจัดการแสงในภาพ ที่ดูแลของบุคคลให้หน้าสว่างชัดไม่มืด และไม่ขาวโพลนโอเวอร์ ภาพยังมี Hightlight และ Shadow อยู่ แต่ไม่ได้เข็มจนไม่เห็นรายละเอียด ส่วนโทนภาพช่วงกลาง ทั้งเงาและสีเก็บครบได้ดี
รวมถึงการใช้งานถ่ายในที่มืด แสงน้อย หรือสภาพแสงที่ยุ่งเหยิง ภาพที่ถ่ายได้ก็ออกมาดูดี สวยเป็นธรรมชาติ ไม่ได้สว่างเวอร์ชัดจนแปลกตา
Night Mode ถ่ายกลางคืนได้สวย
ก่อนหน้านี้ OPPO มีใส่ระบบถ่ายภาพกลางคืนมาครั้งแรกใน R17 Pro มารุ่นน้องซีรี่ย์ F ก็มีใส่มาให้ด้วยเช่นกัน การถ่ายก็แค่กดถ่ายภาพตอนกลางคืน โดยถือกล้องให้นิ่งไว้ประมาณ 3-4 วินาที ระบบจะประมวลผลและปรับภาพให้มีความคมชัด สีสันที่สดใส
Android 9.0 มาพร้อม ColorOS 6.0
ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุด หน้าตาดูสะอาด มีมีเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานให้สมาร์ทโฟนฉลาดขึ้น ด้วยการทำงานประสานกับ AI ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกรวดเร็ว
Hyperboost
เป็นฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับ Color OS 6.0 ที่มีประโยชน์มาก เพราะเป็นการเอา AI มาช่วยจัดการด้านการทำงานของเครื่อง ช่วยจัดสรรและเลือกอันดับของแอพให้เหมาะสมกับการใช้งานให้อัตโนมัติ
Hyperboost จะเข้ามาดูแลการทำงาน 3 ส่วนด้วยกันคือ System, แอพ และการเล่นเกม ระบบจะจัดการเคลียร์ทั้งเรื่อง RAM และการทำงานของ CPU เพื่อการใช้งานแต่ละส่วนอย่างเหมาะสม
และถ้าเวลาที่เล่นเกม Hyperboost จะจัดการเคลียร์แรมและ CPU เพื่อมาอัดให้ระบบเล่นเกมกราฟฟิกสูง สามารถเล่นในเฟรมเรตสูงๆ ได้ไม่มีสะดุด
1 เดือนที่ผ่านมากับ OPPO F11 Pro ถือว่าน่าประทับใจ กับสมาร์ทโฟนราคาหมื่นกว่าๆ ที่ทำได้ขนาดนี้ ตอบโจทย์การใช้งานพื้นฐานได้ครบ มีฟีเจอร์เด็ดๆ เรื่องถ่ายภาพ Portrait คนชอบถ่ายภาพน่าจะชอบใจกัน
ค่าตัว 10,990 บาทของ OPPO F11Pro ถือว่าเหมาะสมกำลังดี คุ้มกับฟีเจอร์ที่ได้และดีไซน์ที่สวยลงตัว
สรุปข้อมูลสเปค OPPO F11Pro
- ขนาด 161.3 x 76.1 x 8.8 มิลลิเมตร หนัก 190 กรัม
- หน้าจอ Panoramic Screen (IPS) ขนาด 6.5 นิ้ว FHD+ อัตราส่วน 19.5:9
- ชิปเซ็ท : MediaTek Helio P70 Octa-core 2.1 GHz
- GPU : Mali-G72 MP3
- หน่วยความจำภายในเครื่อง 64GB เพิ่ม microSD ได้สูงสุด 256GB
- แบตเตอรี่ 4,000 mAh รองรับระบบชาร์จไว VOOC 3.0
- กล้องหน้าแบบ Rising Camera 16 ล้านพิกเซล (f/2.0)
- กล้องหลังคู่ 48+5 ล้านพิกเซล (f/1.79 + f/2.4)
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 6.0 บน Android 9.0
- ระบบสแกนลายนิ้วมือด้านหลังเครื่อง
- ปลดล็อคเครื่องด้วยระบบสแกนใบหน้า
- รองรับ 2 ซิม 4G Stand by