นอกเหนือไปจาก iPhone 11 รุ่นเล็กสุดแล้ว ก็ต้องมีรุ่นใหญ่ด้วยเช่นกัน กับ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max สำหรับคนที่ชอบความสุด และความแพง ที่เหนือชั้นยิ่งกว่า แทนที่รุ่น XS และ XS Max เดิม
รุ่นใหม่ทั้งสองตัวมาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว แบ่งเป็นกล้องหลักระยะปกติ, กล้อง Telephoto สำหรับการถ่ายภาพ Portrait ละลายหลัง และกล้องมุมกว้าง Wide-Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
มีโหมดใหม่ Deep Fusion ถ่ายรูป 9 รูปจากกล้องทั้งสามตัว และเอามาต่อรวมกันกลายเป็นความคุณภาพสูง 1 รูป
ยังมีแอป Filmic Pro ที่ช่วยให้สามารถถ่ายวิดีโอได้จากกล้องทั้งสามตัวไปพร้อมๆ กันเลย ทำให้สะดวกในการเลือกระยะเลนส์หรือมุมกล้องที่หลัง ไม่ต้องคอยมานั่งถ่ายวิดีโอหลายครั้ง
ส่วนความสามารถที่มีอยู่ในรุ่นเล็ก iPhone 11 ก็มีอยู่ในรุ่นท็อปสองตัวนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ทั้ง Night Mode ถ่ายภาพกลางคืนที่แสงน้อย และถ่ายวิดีโอเซลฟี่ Slo-Mo จุดเด่นเพิ่มมาใหม่อีกจุดคือสีเครื่องใหม่เขียวเข้ม Midnight Green
ชิปเป็น A13 Bionic ตัวใหม่เหมือนใน iPhone 11 หน้าจอใช้เป็น OLED Super Retina ให้ค่าคอนทราสต์ระดับ 2,000,000:1 และความสว่างสุงสุด 1,200 นิต
ประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม 15 เปอร์เซ็นต์ และมีความหน้าแน่นพิกเซลที่ 458 ppi
ราคา iPhone 11 Pro เริ่มต้นที่ $999 (ประมาณ 30,600 บาท) ส่วนตัว iPhone 11 Pro Max เริ่มต้นที่ $1,099 (ประมาณ 33,700 บาท) เริ่มเปิดจอง Pre-Order วันศุกร์ที่ 13 กันยายนนี้ และจัดส่งเครื่องได้ในวันที่ 20 กันยายน
ที่มา: Engadget