Google ออกข้อกำหนด เพื่อบังคับให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน Android ทุกแบรนด์ ที่ใช้พอร์ท USB-C ต้องรองรับกับมาตรฐานการการชาร์จของ USB-PD
ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีการชาร์จไฟของสมาร์ทโฟนนั้น พัฒนาไปมาก โดยบริษัทต่างๆสามารถนำเสนอการชาร์จไฟ ไม่ว่าจะ 50W 65W หรือแม้แต่ 100W ซึ่งเทคโนโลยีชาร์จไว ก็เข้ามาช่วยความต้องการใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่
แต่ปัญหาใหญ่ๆ ของเรื่องนี้เลย คือ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแต่ละราย มักจะนำเสนอฟีเจอร์การชาร์จไวของแบรนด์ตัวเอง และสร้างจุดขายเพื่อดึงดูดลูกค้า แต่ ในความเป็นจริง มันมีมาตรฐานการชาร์จไว ที่เป็นมาตรฐานกลางสำหรับพอร์ต USB Type-C ที่เรีกยว่า USB-PD หรือ USB Power Delivery แต่ เทคโนโลยีชาร์จไวของหลายๆ อุปกรณ์จากหลายๆ แบรนด์ นั้น ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องชาร์จที่ตามมาตรฐาน USB-PD ได้ ด้วยเหตุนี้เอง Google จึงกำลังผลักดันให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนฝั่ง Android ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน
ข้อความจากเอกสาร Compatibility Definition Document ของ Android 7.0 Nougat ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2016 ก็มีข้อความเกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานการชาร์จว่า ไม่แนะนำ ให้ผู้ผลิต รองรับวิธีการชาร์จไฟที่เป็นกรรมสิทธิ์ ที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาการทำงานร่วมกับที่ชาร์จ หรือ อุปกรณ์ที่รองรับวิธีการจ่ายไฟตามมาตรฐาน USB เป็นอย่างยิ่ง
แม้ก่อนหน้านี้ Google เองจะยังไม่ได้เคร่งกับเรื่องนี้มาก แต่ ต่อไปในอนาคต Google อยากให้ระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่นรุ่นต่อๆ ไป จำเป็นที่จะต้องให้อุปกรณ์แบบพอร์ท USB-C ทั้งหมด ปฏิบัติตาม และ รองรับการทำงานร่วมกับ มาตรฐานการชาร์จ USB-C อย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ Google ยังได้ออก GMS Requirements เวอร์ชั่น 7.0 (Google Mobile Services) ซึ่งออกมาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2019 ซึ่งเป็นเอกสารที่ระบุสิ่งที่ต้องการเชิงเทคนิคให้กับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนต้องปฏิบัติตาม เพื่อจะได้พรีโหลด GMS ซึ่งเป็น แอปและบริการของทาง Google รวมไปถึง Play Store และ Play Services ซึ่ง อุปกรณ์ Android ไม่ว่าจะสมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ที่ขายต่างประเทศ ต้องจะทำตามข้อกำหนดนี้ เพราะ การเข้าถึงแอป และบริการจำเป็นมากต่อการขายประเทศต่างๆที่นอกเหนือจากประเทศจีน
ใจความหลักๆ ระบุไว้ประมาณว่า อุปกรณ์ใหม่ที่ออกปี 2019 เป็นต้นไป ที่มากับพอร์ท USB-C ต้องมั่นใจว่า สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ชาร์จที่สอดคล้องกับข้อกำหนดและมาตรฐาน USB แบบเต็มรูปแบบ และ มีปลั๊กแบบ USB-C
แต่ คำว่า “full interoperability” หรือ ทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มรูปแบบนั้น อาจจะยังดูไม่เคลียร์เท่าไหร่ หากพิจารณาจากสมาร์ทโฟนที่ออกตั้งแต่ปี 2019 เช่น OnePlus 7 Pro กับ OnePlus 7T ที่มีระบบ warp charge ของตัวเอง และก็สามารถรองรับ USB-PD
การที่ Google ออกข้อกำหนดดังกล่าวมาเป็นมาตรฐานกลาง น่าจะเป็นเรื่องดี สำหรับผู้ใช้งานที่อยากชาร์จไว ได้กับอุปกรณ์ Android ทุกรุ่น แต่ มันก็เป็นเรื่องยาก ที่จะสั่งห้ามไม่ให้แบรนด์ต่างๆเลิกพัฒนาระบบชาร๋จไวของตัวเอง เช่น
- VOOC Flash Charge ของ OPPO
- Warp Charge ของ OnePlus
- SuperCharge ของ Huawei เป็นต้น