ไลก้า เปิดตัวกล้องมิลเลอร์เลสฟูลเฟรมรุ่นใหม่ Leica SL2 พัฒนาต่อมาจากรุ่น SL ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2015 มีการเพิ่มความละเอียดเซ็นเซอร์ให้สูงขึ้น ปรับปรุงโครงสร้างภายในใหม่ ระบบหน้าจอสัมผัสใหม่ และอัปเกรดช่องมองภาพไฟฟ้า พร้อมจำหน่าย 21 พฤศจิกายน นี้ที่ราคา $5,995 ประมาณ 182,000 บาท
วัสดุตรงกลางเป็นแมกนีเซียมปิดทับผิวด้วยหนัง ส่วนด้านบนและล่างเป็นอลูมิเนียม มีมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่น IP54 มีการปรับปรุงปุ่มควบคุมต่างๆ ด้านหลังคล้ายกับตระกูล Q2, M10 และ CL
หน้าจอด้านหลังขนาด 3.2 นิ้ว ความละเอียด 2.1 ล้านพิกเซลแบบสัมผัส และช่องมองภาพไฟฟ้า OLED ความละเอียด 5.76 ล้านพิกเซล สามารถควบคุมได้ทั้งผ่านหน้าจอสัมผัส, แท่งจอยสติ๊ก หรือวงล้อหมุนที่นิ้วโป้ง
ปุ่มต่างๆ ก็ยังสามารถปรับแต่งการทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือต้องการใช้งานแบบไหนก็ตาม เพิ่มความรู้สึกทันสมัยมากขึ้น มากกว่า SL ตัวเดิมที่ไม่มีหน้าจอสัมผัส
Leica SL2 ใช้เซ็นเซอร์ขนาดฟูลเฟรมความละเอียด 47.3 ล้านพิกเซล ตัวเดียวกันกับที่เปิดตัวใน Q2 ปรับแต่งเพิ่มเติมเล็กน้อยสำหรับใช้งานกับระบบเปลี่ยนแลนส์ได้ เชื่อมต่อกับระบบกันสั่นในตัว IBIS 5 แกน ช่วยชดเชยได้สูงสุดถึง 5.5 สตอป
ค่า ISO ก็ทำได้ตั้งแต่ช่วง 50 ไปจนถึงสูงสุดที่ 50,000 ช่วยเพิ่มการชดเชยแสงเวลาถ่ายภาพ Dynamic Range ได้สูงสุดถึง 14 สตอป
ระบบประมวลผลภาพ Maestro III ถ่ายภาพได้เร็วสุด 10 ภาพต่อวินาทีด้วยชัตเตอร์แบบ Mechanical หรือสูงสุด 20 ภาพต่อวินาที ด้วยชัตเตอร์ไฟฟ้า สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K เต็มความกว้างเซ็นเซอร์ ที่ 60P และความละเอียด 5K แบบ Crop ที่ 30P ส่วนความละเอียด 1080p สามารถถ่ายได้เร็วสุด 180 ภาพต่อวินาที ใช้ทำภาพสโลโมชั่นได้
มีระบบตรวจจับดวงตา, ใบหน้า, และรูปร่างตัวคน พร้อมระบบถ่ายภาพอัตโนมัติเมื่อตรวจเจอในโฟกัส ให้สามารถถ่ายภาพได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วเอามาขัดกรองในภายหลังเพื่อเลือกรูปที่ดีที่สุด
น้ำหนักตัวกล้องเท่ารุ่น SL ตัวก่อนหน้าที่ 928 กรัม แต่ก็ไม่ใช่กล้องที่จะคาดหวังให้มีขนาดเล็กเหมือนกับพวกคู่แข่งอย่าง Sony หรือ Fujifilm เพราะมันค่อนมีน้ำหนัก มีขนาดตัวที่ใหญ่ เน้นไปที่ความรู้สึกในการจับถือใช้งานที่ดีที่สุด ถ้าอยากจะลดขนาดจาก DSLR ลงมา นี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี
ตั้งแต่เปิดตัว SL รุ่นก่อนมาจนถึงตอนนี้เป็นเวลา 4 ปีแล้ว มีเลนส์ออกมาให้ใช้งานทั้งหมด 8 ตัว และมีแผนที่จะเปิดตัวเพิ่มอีก 3 ตัวในปีหน้า และยังมีการจับมือร่วมกับ Panasonic และ Sigma เพื่อออกเลนส์เพิ่มด้วย
ที่มา: The Verge
