ถุงมือควบคุมความฝัน Dormio

MIT กำลังพัฒนา Dormio ถุงมือที่สวมแล้ว สามารถควบคุมความฝันของมนุษย์ได้

MIT หรือ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ได้ทำการพัฒนาถุงมือที่ใช้ชื่อว่า Dormio เพื่อเอาไว้เชื่อมต่อเข้ากับความฝันและควบคุมความฝันให้เป็นไปตามต้องการ

ทฤษฎีการเชื่อมต่อ ควบคุมความฝันนั้นไม่ใช่แนวคิดสมัยใหม่แต่อย่างใดแต่เป็นแนวคิดที่มีมากว่าศตวรรษแล้ว อย่างเช่น Thomas Alva Edison (ทอมัส แอลวา เอดิสัน) นักประดิษฐ์และนักธุรกิจชื่อดังของโลกก็ได้ใช้ความฝันของเขาในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ

โดย Edison จะคิดจดจ่อกับเรื่องที่ต้องการจะฝันก่อน จากนั้นจะงีบหลับโดยจะถือลูกเหล็กเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง เมื่อเข้าสู่สภาวะกึ่งฝันกึ่งจริง (Hypnagogic state) ร่างกายก็จะเข้าสู่สภาวะผ่อนคลายจนทำให้ลูกเหล็กหลุดจากมือกระทบลงบนพื้นเสียงดังทำให้ตื่น จากนั้นเขาก็จะรีบทำการบันทึกทบทวนตีความสิ่งเกิดขึ้นในความฝันก่อนที่จะลืม

Edison and steel ball

รูปปั้นของ Thomas Alva Edison ที่ Edison & Ford Winter Estates in Fort Myers จะเห็นว่าในมือซ้ายของเขาจะถือลูกบอลเหล็กอยู่

แนวคิดนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ Edison ที่ใช้แต่ก็ยังมีบุคคลสำคัญคนอื่น ๆ ของโลกใช้กันอีกด้วยอย่างเช่น Nikola Tesla นักประดิษฐ์คู่ปรับของ Edison, Salvador Dalí จิตกร,  Sir Isaac Newton นักวิทยาศาสตร์ และ Beethoven นักดนตรีก็ล้วนใช้ความฝันในการรังสรรค์ผลงานออกมา

ซึ่งมันไม่ง่ายที่ทุก ๆ คนจะทำได้ การบังคับให้ตัวเองฝันในเรื่องที่ต้องการและการรู้สึกตัวว่าฝันอยู่ เลยทำให้ทาง MIT ก็เอาทฤษฎีนี้มาพัฒนาต่อยอดเพื่อที่ต้องการจะแทรกแทรง แต่งเติม ควบคุม ความฝัน ด้วยการสร้างถุงมือที่ชื่อว่า Dormio

ถุงมือ Dormio

ถุงมือ Dormio

ถุงมือนี้จะถูกสวมอยู่ระหว่างที่เรากำลังหลับ ที่ถุงมือจะมีเซ็นเซอร์มากมายเพื่อตรวจสอบว่าผู้ที่ใช้งานอยู่นั้นเข้าสู่สภาวะสู่สภาวะกึ่งฝันกึ่งจริง (Hypnagogic state) แล้วหรือยังจากนั้นก็เริ่มกระบวนการแทรกแซงความฝันด้วยการปล่อยเสียงด้วยคำพูดสั้น ๆ

จากการทดสอบด้วยการปล่อยคำพูดสั้น ๆ ว่า  “Tiger” หรือ “เสือ” ปรากฏว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบกว่า 50 คนนั้นมีเสือเข้ามาปรากฏตัวอยู่ในความฝัน

 

นอกจากนี้ยังมีนักวิจัยอีกทีมที่ใช้ชื่อว่า Dream Lab ก็ทำการทดลองแบบเดียวกันนี้เพียงแต่เปลี่ยนจากการใช้เสียงเป็นกลิ่นแทน

อย่างไรก็ตามการทดลองนี้ก็ยังติดปัญหาตรงที่เรายังไม่สามารถควบคุมความฝันได้ทั้งหมด (Lucid Dreaming) โดยมีคนเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่สามารถจะสามารถควบคุมความฝันได้

นักวิทยาศาสตร์ยังกล่าวว่าถ้าเราสามารถควบคุมความฝันได้มันจะเจ๋งเสียยิ่งกว่าใช้ VR เพราะเราสามารถเพิ่มพูนทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพหลาย ๆ ด้านได้ด้วยการนอน ซึ่งก็เป็นงานที่ท้าทายให้นักวิทยาศาสตร์ต้องค้นคว้าต่อไป

ที่มา – media.mit.edu, onezero.medium.com, quora.com, psychologytoday.com