MIT(สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์) มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกได้ออกมาเผยแพร่บทความว่า COVID-19 อาจจะทำให้ ภาวะโลกร้อน กลับแย่ลง
แม้จะมีรายงานข่าวว่าโลกของเรากำลังฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่มนุษย์ต่างพากัน lockdown อยู่กับบ้านทำให้มนุษย์ไม่ไปรบกวนธรรมชาติ จนทำให้บางคนมองว่านี้ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของ COVID-19
แต่ทาง MIT กลับมองต่อไปไกลกว่านั้นว่า COVID-19 อาจจะทำให้ ภาวะโลกร้อน กลับแย่ลง เนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เปลี่ยนไปจากที่ภาวะวิกฤติ COVID-19 โดยให้เหตุผลไว้ดังนี้
1. หลังจากที่ธุรกิจหลาย ๆ ที่ต่างซบเซากันทั่วโลก เงินก็น้อยลง อาจจะทำโครงการที่จะช่วยผลกระทบสิ่งแวดล้อมของแต่ละบริษัทถูกชะลอลง เพราะโครงการต่าง ๆ เหล่านั้นต้องใช้ทั้งงบประมาณที่สูง เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์, โครงการพลังงานลม หรือ แบตเตอรี่
2. จากภาวะน้ำมันล้นตลาดทำให้ราคาน้ำมันโลกปรับตัวลดลงอย่างหนัก ราคาน้ำมันและก๊าซถูกลงมากจนทำให้รถไฟฟ้านั้นมีความน่าสนใจน้อยลง และขายได้ยากขึ้น
3. ประเทศจีนที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในเรื่องของเทคโนโลยีพลังงานสะอาดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แผงพลังงานแสงอาทิตย์, กังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า (wind turbines) และ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับรถไฟฟ้า ก็พบปัญหาหลังจากมีความต้องการลดน้อยลง และมีการระงับการค้าขายระหว่างประเทศ
4. ท่ามกลางภาวะวิกฤติทางด้านสุขภาพ และเศรษฐกิจ ทำให้ผู้คนใส่ใจกับสุขภาพ และการเงิน มากกว่าเรื่องภาวะโลกร้อน
นอกจากนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์คลินิก Gernot Wagner จากคณะสิ่งแวดล้อม ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ยังออกมากล่าวเตือนให้ระวังปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะหนักหนาสาหัสกว่าวิกฤติ COVID-19
“การปล่อยมลพิษในประเทศจีนลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจที่หยุดนิ่ง และผู้คนกำลังจะตายเพราะความยากจน พวกเขาไม่สามารถซื้ออาหารและยาได้ นี่ไม่ใช่วิธีที่ควรจะเป็นในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน” เขากล่าว
จุดประสงค์ในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนคือการหลีกเลี่ยงความทุขทรมาณและความตาย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องแยกแยะผลกระทบระยะสั้น และระยะยาวของการระบาด COVID-19 เพราะผู้คนกำลังได้รับความลำบาก การชะลอการหยุดยั้งการระบาด และ การดูแลผู้ติดเชื้ออย่างเหมาะสมคือสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้
ที่มา – technologyreview.com