ก่อนหน้านี้ มีบริษัทต่างๆ เช่น Unilever Coca-Cola, The North Face และ Patagonia เป็นต้น ต่างคว่ำบาตรและยกเลิกการลงโฆษณาบน Facebook ภายใต้แคมเปญ #StopHateForProfit ที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อให้โซเชียลมีเดียร์ยอดนิยมอย่าง Facebook นั้นรับผิดชอบโดยการจัดการกับโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับ Hate Speech และการคุกคามทางออนไลน์บนแพลตฟอร์มของตัวเองอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ บริษัทใหญ่ๆ เช่น Target, Microsoft และ Starbucks เป็นต้น ก็เริ่มทยอยถอดโฆษณาบน Facebook ตามบริษัทอื่นๆ ที่ถอนออกไปก่อนหน้านี้ แต่จากข้อมูลรายได้ของ Facebook ดูเหมือนการคว่ำบาตรในครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อกำไรจากการโฆษณาของพวกเข้าเพียงเล็กน้อย
จากรายงานของ The Wall Street Journal นั้นพบว่า บริษัทที่ใหญ่ที่สุด Top 8 ที่คว่ำบาตร Facebook นั้นสร้างรายได้จากการโฆษณาบน Facebook ของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาไปได้เพียง 57 ล้านดอลล่าร์ โดยบริษัทที่ร่วมคว่ำบาตรที่ใหญ่ที่สุดคือ Microsoft จ่ายค่าโฆษณาไปประมาณ 10.4 ล้านดอลล่าร์ และตามมาด้วย Starbucks ที่จ่ายค่าโฆษณาไป 8.1 ล้านดอลล่าร์ รายได้ค่าโฆษณาที่ได้จากบริษัท Top 8 ที่คว่ำบาตรนั้นคิดเป็น 10% ของผู้ลงโฆษณา Top 100 ในสหรัฐทั้งเดือนพฤษภาคม 2020 ที่ 529 ล้านดอลล่าร์
และเมื่อเปรียบเทียบเพิ่มเติมอีก จะพบว่า รายได้ค่าโฆษณาของ Facebook จากบริษัทในสหรัฐฯและแคนาดาในปี 2019 นั้นทำได้ถึง 3.4 หมื่นล้านดอลล่าร์ และรายได้จากค่าโฆษณาอย่างเดียวที่ Facebook ได้จากทั่วโลกนั้น ทำไปได้ 69.7 หมื่นล้านดอลล่าร์
นอกจากนี้ The Wall Street Journal ยังแจกแจงรายละเอียดอีกว่า จากยอดรวมค่าโฆษณาทั้งหมดทั่วโลกที่ 69.7 หมื่นล้านดอลล่าร์นั้น 76% เป็นรายได้โฆษณาจากบริษัทขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง ส่วนอีก 24% เป็นรายได้โฆษณาที่ได้จากบริษัทใหญ่
การที่บริษัทใหญ่ต่างๆ รวมตัวกันคว่ำบาตร Facebook นั้นอาจเป็นข่าวใหญ่ที่เรียกความสนใจได้มากก็จริง แต่จากตัวเลขรายได้แสดงให้เห็นว่าการคว่ำบาตรมีผลกระทบกับรายได้โฆษณาโดยรวมของ Facebook เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ที่มา : The Wall Street Journal | Statista