พรีวิว ลองสัมผัสกับ Samsung Galaxy Note20 และ Galaxy Note20 Ultra รอบนี้ซัมซุงยกระดับให้โน๊ตเป็น Power Phone ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย และตอบโจทย์กับยุคปัจจุบัน ที่การทำงานต่างๆ ไม่ได้อยู่เฉพาะในที่ทำงาน แต่เราต้องทำงานได้จากทุกที่ และ Galaxy Note20 ก็ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุก Productivity ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนรุ่นไหนบนโลกนี้เทียบได้!
ปี 2020 นี้ถือว่าเป็นการครบรอบ 10 ปีของสมาร์ทโฟน Galaxy Note series ของซัมซุง ที่เปิดตัวด้วยจุดเด่นของปากกาสไตลัสเพื่อใช้งานบนสมาร์ทโฟนยุคใหม่ และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ Galaxy Note ก็ยังคงยืนหนึ่งในเรื่องสมาร์ทโฟนที่เปี่ยมล้นด้วยพลังแห่งความสร้างสรรค์
มีตัวเลขที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ประเทศไทยของเรา Galaxy Note ถือว่ามียอดขายมากที่สุดในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค และไม่ใช่แค่นั้นคนไทยยังมีความเชี่ยวชาญ และใช้งานฟังค์ชั่นต่างๆ ที่มีใน Galaxy Note มากที่สุดอีกด้วย เรียกได้ว่า ประเทศไทยนั้นมีแฟนโน๊ตเยอะมาก และเป็นชุมชนที่ใช้งานสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
พรีวิว Samsung Galaxy Note20 และ Galaxy Note20 Ultra ยกระดับสู่ “Power Phone”
เราจะเห็นว่าวิวัฒนาการของ Galaxy Note ที่ผ่านมา เพิ่มในเรื่องความสามารถในการใช้งานด้านการทำงานให้เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพของปากกา S-Pen การทำงานเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น การขยายขอบเขตการทำงานเพื่อขึ้นหน้าจอใหญ่ในประสบการณ์แบบ Desktop PC ฯลฯ
ต้องยอมรับว่าในปี 2020 นี้ เป็นปีที่คนทั้งโลกคาดไม่ถึง ว่าชีวิตของทุกคนต้องเปลี่ยนไปเพราะการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปีนี้เทรนด์ของการ “Work from Home” เกิดขึ้นมาและทุกคนต้องปรับตัวในการทำงานแบบ Remote Work ที่ต้องพร้อมรับมือในการทำงานได้จากทุกที่ ทุกเวลา รวมถึงในด้านของการรับชมคอนเทนต์บันเทิงต่างๆ บนสมาร์ทโฟนก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
Galaxy Note 20 Series ตอนนี้ทางซัมซุงได้วางตำแหน่งของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ให้เป็น Premium + Life Maximizer คือมีความหรูหราสวยงามขั้นสุด และมีประสิทธิภาพและฟีเจอร์ที่ช่วยให้ประสบการณ์ในแต่ละวัน ทำในสิ่งใหม่ๆ ได้มากยิ่งขึ้น
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจใน Samsung Galaxy Note20 และ Galaxy Note20 Ultra
- ปากกา S-Pen มีค่าความหน่วง (Latency) ในการเขียนที่ดีขึ้นกว่าเดิม เหลือแค่ 9ms จนให้ประสบการณ์เขียนที่ใกล้เคียงกับการเขียนด้วยปากกาบนกระดาษจริงมากขึ้น
- S-Pen เพิ่ม Air Action เพื่อใช้ควบคุมการใช้งานในสมาร์ทโฟนเวลาที่ต่อในโหมด DEX เพื่อพรีเซนเทชั่นได้สะดวกกว่าเดิม
- Samsung Note เพิ่มความสามารถด้านเอกสาร โน้ตที่จดสามารถแปลงเป็น Power Point เพื่อเอาไปใช้ในงานนำเสนอได้ทันที, สั่ง Import/Export ไฟล์ PDF เพื่อแก้ไข, คอมเมนต์ และส่งต่อได้, การบันทึกทำทั้งเขียนและพิมพ์ได้พร้อมกัน, มี AI ช่วยปรับตัวหนังสือลายมือที่จดให้เป็นบรรทัดอ่านได้ง่ายขึ้น และมี Audio Bookmark การบันทึกเสียงและจดบันทึกไปได้พร้อมๆ กัน
- Live Sync การเชื่อมต่อและซิงค์เอกสารจดบันทึกไปยังอุปกรณ์อื่นได้แบบ real-time (ภายใน 12-19 วินาที) ทำให้ทำงานต่อจากอุปกรณ์ต่างๆ ได้แบบไร้รอยต่อ
- Link to Windows ทางซัมซุงทำงานร่วมกับ Microsoft เพื่อให้การทำงานด้วย Galaxy Note ดียิ่งขึ้น มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจคือ การใช้งาน Mobile App ที่ติดตั้งไว้ในสมาร์ทโฟน เราสั่ง bookmark ไว้ที่หน้าคอมพิวเตอร์ Windows แล้วเปิดใช้งานบนคอมได้เลย
- Wireless DEX การทำงานในโหมด Desktop ที่คราวนี้ทำได้โดยที่ไม่ต้องใช้ Dock อีกต่อไป อุปกรณ์เม้าส์, คีย์บอร์ด สามารถเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ส่วนภาพสามารถขึ้นจอใดๆ ก็ได้ที่รองรับ Miracast พร้อมกับมี Dual mode ทำงานบน Galaxy Note20 และบนหน้าจอแยกจากกันได้อิสระ การใช้งานแอพก็สามารถเปิดหน้าจอทำแบบ Multitasking ได้ 4 แอพพร้อมกัน พร้อมทั้งยังออกแบบคีย์ลัดต่างๆ บนคีย์บอร์ดแบบเดียวกับ Windows เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกมากขึ้น
เนื่องจาก พรีวิว ครั้งนี้ ทางทีมงานยังไม่ได้ลองทดสอบใช้งานจริง เราได้ลองสัมผัสตัวเครื่องจริงเป็นครั้งแรก พร้อมกับได้ลองจับใช้ในช่วงเวลาสั้นๆ และนี่คือสิ่งที่เราได้ลองแล้วมาเล่าให้คุณฟังกัน
มาดูเรื่องของสีกันก่อนเลย สีที่เป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้ก็คือ Mystic Bronze บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นสีโรสโกล์ด แต่จริงๆ มันคือสีบรอนซ์ ที่มีความเรียบด้านแต่สวยงามหรูหรา และปีนี้ซัมซุงจัดคอลเลคชั่นสีทั้งสมาร์ทโฟน, อุปกรณ์เสริม, หูฟัง แท็บเล็ต, นาฬิกา มาเป็นทีมเข้าชุดกันแบบว่าอยากจะซื้อเข้าชุดกันให้หมดเสียเหลือเกิน
Galaxy Note20 Ultra จะเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วยกัน 2 สีคือ Mystic Bronze และสีดำ Mystic Black ที่จะเป็นสีดำเงา
ส่วนทางด้าน Galaxy Note20 จะเข้ามาด้วยกัน 3 สีคือ Mystic Bronze, Mystic Green และ Mystic Grey (ในวันทดสอบไม่มีตัวอย่างเครื่องสีเทา)
งานประกอบนั้นสวยงามปราณีตตามมาตรฐานซัมซุง ตัวขอบเครื่องที่เป็นโลหะมันวาว สีเดียวกับฝาหลัง ส่วนกระจกด้านหลังเครื่องจะเป็นแบบด้านซึ่งมีรอยนิ้วน้อยมากเวลาที่จับ เป็นการเล่นสีเงากับด้าน ออกมาดูเรียบๆ แต่ดูแพงมีสไตล์
Galaxy Note20 ตัวเครื่องจะมีขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว แบบ Super AMOLED ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล, 20:9 ratio เป็นขนาดที่จับมือเดียวได้ถนัดมากๆ จะเห็นเลยว่าพื้นที่ขอบรอบข้างเหลือน้อยจนเกือบสุดแล้ว และกระจกหน้าจอจะใช้เป็น Gorilla Glass Victus รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีความคงทนมากขึ้น
จอเว้นตำแหน่งของกล้องหน้าแบบ Infinity-O อยู่ตำแหน่งตรงกลางของจอ โดยกล้องหน้าความละเอียดอยู่ที่ 10 ล้านพิกเซล เก็บระยะได้มุมกว้าง และมีค่ารูรับแสงที่ f/2.2
เฟรมของเครื่องเป็นโลหะแบบ Brushed มีลวดลายของโลหะขัดที่สวยงาม โดยโทนสีจะเป็นแบบเดียวกับตัวฝาหัง ในตำแหน่งด้านบนของเครื่องจะมีช่วงสำหรับถอดถาดซิม ใส่เป็นแบบ Nano SIM ได้ 2 เบอร์ (เพิ่ม microSD ไม่ได้)
ด้านล่างของเครื่อง เป็นช่องไมโครโฟน พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-C ช่องลำโพง และช่องเสียบเก็บปากกา S-Pen ไม่มีช่องหูฟัง 3.5mm และขอบท้ายจะเป็นแบบตัดเรียบ
ขอบด้านข้างเครื่องจะโค้งมนรับกับกระจกหลังที่เป็น 3D Curved เชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ มีปุ่ม Power และปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงอยู่ทางขวามือ
หน้าจอของ Galaxy Note20 จะเป็นแบบจอเรียบที่ไม่ใช่แบบ Edge screen แบบที่เคยใช้มาในหลายรุ่นๆ ที่ผ่านมา เชื่อว่าแฟนโน๊ตหลายคนตะโกนร้องกรี้ดทันที เพราะจอแบนนั้นเวลาใช้ปากกามันสะดวกกว่า โดยเฉพาะเวลาเขียนหรือจดอะไรที่ขอบๆ จอก็จะไม่ไหลพรืดตกขอบอีกต่อไป
ด้านหลังเครื่องของ Galaxy Note20 จะเป็นแบบสีด้าน วัสดุเป็นโพลีคาร์บอเนต ซึ่งข้อดีก็คือเป็นรอยนิ้วมือเกิดขึ้นน้อยมาก สีก็เป็นแนวออก Luxury ที่ดูสวยงามดีครับ
ชุดกล้องหลัง เป็นแบบ 3 เลนส์ เป็นกล้อง 64 ล้านพิกเซล ทำงานร่วมกับกล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล และกล้อง Telephoto 12 ล้านพิกเซล พร้อมมีไมค์ตัวที่ 3 และไฟแฟลช LED
ปากกา S-Pen ระบบภายในต่างๆ เหมือนกับใน Note10 ที่เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth และชาร์จไร้สายระหว่างเสียบเก็บ ทำงานร่วมกับ Air Command ได้
มาดูทาง Samsung Galaxy Note20 Ultra บ้าง ตัวเครื่องด้านหลังมีความหรูหราด้วยกระจก Gorilla Glass Victus เหมือนกับด้านหน้าจอ ตัวจอด้านหน้าขนาด 6.9 นิ้วแบบ Dynamic Super AMOLED ที่มีค่า refresh rate ถึง 120Hz ที่สามารถปรับค่าเฟรมเรตตามการใช้งาน เพื่อประหยัดด้านพลังงาน แต่ว่าจอของ Note20 Ultra จะเป็นขอบโค้งแบบ Edge
ชุดกล้องหลังจะเป็น 3 เลนส์ กล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล พร้อมกล้องมุมกว้าง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล และกล้องซูมแบบ Periscope 12 ล้านพิกเซล โดยจะมีเลเซอร์เซนเซอร์ที่จะมาช่วยในเรื่องการจับโฟกัสได้อย่างรวดเร็ว
โมดูลกล้องหลังของ Galaxy Note20 Ultra ถือว่าค่อนข้างนูนออกมาจากตัวฝาหลังพอสมควร
Space Zoom ระยะการซูมของกล้องหลัง Samsung Galaxy Note20 Ultra นั้น ซูมได้ไกลสุดที่ 50x ซึ่งลองใช้ไปเล็กน้อยก็รู้สึกว่าทำงานในระยะหวังผลที่ 20x ก็ยังคมชัด และที่ 50x เองก็ยังเก็บรายละเอียดได้ดีอยู่ ส่วนกล้องหลังของ Galaxy Note20 นั้นจะซูมได้สูงสุดที่ 30 เท่า
Galaxy Buds Live เป็นอีกอุปกรณ์เสริมใหม่ที่น่าสนใจในการเปิดตัวครั้งนี้ ด้วยรูปทรงที่ดูเหมือนจะแปลกๆ แต่ใส่ได้กระชับดีมากๆ และยังมีประสิทธิภาพในเรื่องของทั้งเสียงที่คมชัด และไมค์สนทนาตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้ดี มีฟีเจอร์ทำงานร่วมกับกล้อง Galaxy Note20 ที่เอาไว้ใช้งานเป็น Wireless Microphone สำหรับอัดวิดีโอได้ด้วย
Samsung Galaxy Note20 และ Note20 Ultra รุ่นที่จะเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย จะมีแบ่งออกเป็น 6 รุ่นด้วยกันดังนี้ (อัพเดทประกาศราคาในประเทศไทย)
- Galaxy Note20 Ultra (5G) 12GB + 512GB ราคา 46,990 บาท
- Galaxy Note20 Ultra (5G) 12GB + 256GB ราคา 42,990 บาท
- Galaxy Note20 Ultra (LTE) 12GB + 512GB ราคา 42,990 บาท
- Galaxy Note20 Ultra (LTE) 12GB + 256GB ราคา 38,990 บาท
- Galaxy Note20 (LTE) 8GB + 256GB ราคา 29,990 บาท
- Galaxy Note20 (5G) 8GB + 256GB ราคา 39,990 บาท
พรีวิว Samsung Galaxy Note20 และ Note20 Ultra เราให้ข้อมูลเบื้องต้นและโชว์ดีไซน์แบบครบถ้วนแล้ว ส่วนตัวทีมงานล้ำหน้าฯ จากที่ได้ลองจับครั้งแรกแล้ว ก็คงต้องบอกว่า “ชอบ” คือมันลงตัวในหลายๆ อย่าง ตัวเครื่องที่ขนาดหน้าจอใหญ่มากๆ แต่ถือจับถนัดมือ น้ำหนักเครื่องยังอยู่ในระดับเท่าๆ เดิม และที่ชอบมาคือเรื่องของสีที่ “สวยทุกสี” แต่แอบเสียดายที่สีขาวไม่ได้เข้าไทยในตอนเปิดตัว
เรื่องความสวยงามและรูปลักษณ์ ถือว่าน่าประทับใจเลยครับ เรียบสวยลงตัวที่สุด ส่วนเรื่องฟีเจอร์ใหม่ๆ นั้นมาช่วยตอบโจทย์การใช้งานเพื่อทำงานได้ดีมากขึ้น เชื่อเลยว่าแฟนโน๊ตเมืองไทยจะไม่รู้สึกผิดหวังกับรุ่นใหม่นี้
สำหรับรีวิวตัวเต็มหลังจากที่เราได้รับเครื่องจากทางซัมซุง จะรีบมานำเสนอให้โดยเร็วครับ ส่วนเรื่องของราคาและโปรโมชั่น ในไทยจะประกาศในวันที่ 6 สิงหาคม 2563 เวลา 10.00 น. เตรียมตัวรอกันได้เลย