ตาล้า (Asthenopia) Eye strain อาการผิดปกติของดวงตา ที่เกิดจากความเมื้อยล้าของกล้ามเนื้อตา นี่คือสิ่งที่คนยุคปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว เพราะเรามีกิจกรรมที่ใช้สายตามากขึ้น ทั้งจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ตต่อเนื่องเป็นเวลานาน หากตอนนี้ใครเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองเริ่มมีอาการ มาทางนี้ เรามีคำแนะนำ ที่จะป้องกัน และช่วยบรรเทาอาการ เพื่อไม่ให้สุขภาพดวงตาของคุณทรุดโทรมก่อนถึงเวลาอันสมควร
จากข้อมูลล่าสุด เกี่ยวกับสถิติการใช้งานอินเทอร์เนตของคนไทย โดย Wearesocial ระบุว่า ในแต่ละวัน คนไทย ใช้เวลาในการเล่นอินเทอร์เนต เฉลี่ยถึง 9.01 ชั่วโมง จัดเป็นอันดับ 5 ของโลก! ซึ่งนับแล้วนี่เป็นเวลามากกว่า 1/3 ของแต่ละวันเลยทีเดียว
ค่าสถิตินี้ เป็นการนับรวมทั้งหมดไม่ว่าจะการใช้ท่องอินเทอร์เน็ตผ่านทางสมาร์ทโฟน รวมไปถึงคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต ซึ่งสถิตินี้ยังไม่ได้นับรวมกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องใช้สายตาจ้องตอนเนื่องเป็นเวลานาน อย่างเช่น การทำงาน หรือการเล่นเกม และด้วยเวลาต่อวันที่เราใช้สายตากันอย่างหนักหน่วง สุขภาพของดวงตาเราจึงได้รับผลกระทบอย่างที่ไม่รู้ตัว และนี่คือสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ตาล้า” หรือ “กล้ามเนื้อตาเมื่อย” นั่นเอง
อาการอะไรบ้าง? ที่เป็นสัญญาณบอกว่า คุณกำลัง “ตาล้า” แล้ว!
ในวันที่คุณนอนดึกเพราะต้องเร่งทำงานส่งด่วน กว่าจะเสร็จเกือบตี 1-2 แล้วเช้ามาก็ต้องรีบตื่นไปทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อเข้าออฟฟิศ ปรากฏว่าวันนั้นทั้งวัน คุณมองดูอะไรก็จะเหมือนจะ ตาพร่า มองอะไรซ้อนดูเบลอไปหมด หรือต้องจ้องหรือเพ่งมากกว่าปกติถึงจะมองเห็นชัดขึ้น
หรือในบางวันที่กำลังนั่งทำงานอยู่ พอตกเวลาบ่ายๆ ก็เริ่มรู้สึกว่า แสบตา ระคายเคือง หรือบางครั้งหนักจนถึงขั้นมีอาการปวดหัว ปวดขมับท้ายทอย เหมือนว่ามีอาการเครียดตึง หรือคล้ายจะปวดไมเกรน
หรือว่ากำลังนั่งเล่นเกมมือถือ ตีป้อมอยู่กับเพื่อนตั้งแต่เที่ยงจนค่ำ จู่ๆ ก็มีอาการตากระตุก กึกๆๆ คุณอาจจะนึกถึงคำโบราณว่า “ขวาร้ายซ้ายดี” แต่ความเป็นจริงคือ ตาของคุณกำลังโอดครวญและเตือนให้รู้ว่า คุณใช้สายตาหนักเกินไปแล้วนะ
สาเหตุที่ทำให้ตาล้า และผลกระทบอื่นๆ ที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง
พฤติกรรมการใช้สายตาที่มากเกินไปในแต่ละวัน คือสาเหตุหลักที่ทำให้กล้ามเนื้อตาเมื่อยล้า การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ มากกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อวัน การเล่นมือถือแทบจะทุกช่วงเวลาที่ตื่นนอน หรือการทำงานที่ต้องสายตาเพ่ง อย่างงานฝีมือ หรือการขับรถต่อเนื่อง ล้วนแล้วมีผลให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักต่อเนื่องตลอดเวลา
อธิบายหลักการทำงานของกล้ามเนื้อตาแบบคร่าวๆ คือเมื่อเราต้องใช้สายตาในระยะที่ต้องจ้องหรือเพ่งมอง สมองจะสั่งให้ดวงตาของเราปรับโฟกัสให้จ้องทันทีโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เรามองเห็นภาพในระยะใกล้ที่ชัดเจนขึ้น พูดง่ายๆ ก็เหมือนเราต้องเกร็งกล้ามเนื้อตาขณะที่มองใกล้ๆ
และเมื่อกล้ามเนื้อตาต้องเกร็งต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ มันจึงเกิดอาการล้า ถ้าเป็นกล้ามเนื้อส่วนอื่นเราเอายามานวดก็หาย แต่จะเอาน้ำมันมวยมานวดตาเราก็คงทำไม่ได้ แล้วกล้ามเนื้อตาก็ไม่เหมือนกล้ามเนื้ออื่นที่ใช้งานบ่อยๆ แล้วจะแข็งแรงขึ้น เพราะตาของเรายิ่งต้องเกร็งต้องเพ่งบ่อยๆ มันจะยิ่งทำให้มันเสื่อมสภาพเร็วขึ้นไปอีก
และสิ่งที่จะตามมาเมื่อกล้ามเนื้อตาเสื่อมสภาพ นั่นก็คือ “สายตายาว” ซึ่งปกติแล้วมันก็จะเสื่อมเมื่อเรามีอายุมากขึ้นอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมนี้ก็จะทำให้ “สายตายาว” มาหาคุณในเวลาที่เร็วกว่าเดิม รวมไปถึงอาการตาล้า ที่มีผลคือมองอะไรก็พร่ามัว และยังมีอาการตาแห้งที่รู้สึกแสบ ก็ส่งผลกระทบและสร้างปัญหาให้กับชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน สร้างความรำคาญ และส่งผลสร้างความเครียดให้กับเราได้ด้วย
ปรับเปลี่ยนไลฟสไตล์ เพื่อให้สายตาผ่อนคลายมากขึ้น
สาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการสายตาล้า ล้วนแล้วมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนั้นเริ่มต้นก็ควรจะต้องแก้กันที่ต้นเหตุ รวมถึงถ้าหากใครเริ่มมีอาการแล้ว เราก็มีวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการมาแนะนำให้ด้วย
1.พักสายตาเถอะนะคนดี เพราะอาการทั้งหมดนี้ สาเหตุล้วนมาจากการที่เราใช้สายตาต่อเนื่องนานมากเกินไป ก็คงต้องบอกว่า “ลดการใช้สายตาลงสิ!” พูดอาจจะดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงหลายคนก็ทำไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ พอติดลมก็นั่งทำงานยาวไม่รู้ตัว มารู้สึกอีกทีก็คือตาพร่าเบลอไปเรียบร้อยแล้ว
เราต้องเริ่มจากการสร้างวินัยในการพักสายตาระหว่างการทำงาน ถ้าช่วงเวลาที่แพทย์แนะนำก็คือ ในทุกๆ 20 นาที ควรพักสายตา 20 วินาที โดยจะใช้วิธีหลับตา หรือเปลี่ยนระยะการมองให้ไปที่ระยะไกลๆ ระดับ 6 เมตรขึ้นไป ก็จะช่วยผ่อนคลายการเกร็งกล้ามเนื้อตาได้
2.ใช้คอมพิวเตอร์ เล่นมือถือ ในสภาพที่แสงสว่างเพียงพอ เพราะแสงสว่างน้อยทำให้เราต้องเพ่งสายตามากขึ้น ดังนั้นพฤติกรรมเล่นมือถือตอนที่ปิดไฟเตรียมนอน เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ส่วนการทำงานควรจัดไฟในห้องบริเวณที่นั่งทำงานให้สว่างเพียงพอ
3.ปรับหน้าจอในโหมดถนอมสายตา ปัจจุบันในสมาร์ทโฟนทั้งระบบ Android และ iOS รวมถึงในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows และ macOS สามารถเปิดเลือกโหมด Eye Comfort เพื่อลดแสงสีฟ้าจากหน้าจอได้ หรือถ้าจะเลือกใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ก็มีหลายรุ่นที่ชูฟีเจอร์ของจอที่มีเทคโนโลยีที่ช่วยในการลดแสงสีฟ้าลงได้ แต่ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แสงสีฟ้านั้น ไม่ได้ทำให้ดวงตาทำงานหนักมากขึ้น แต่ … ส่งผลกระทบกับจอประสาทตา ทำให้รู้สึกแสบตา หรือมีอาการตาไม่สู้แสงร่วมด้วย สิ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก มาจากแสงที่จ้ามากเกินไป บวกกับการเพ่งสายตา ทั้งสองอย่างนี้ทำให้ดวงตาเกิดการทำงานหนักจนล้าในที่สุดนั่นเอง
4.หลีกเลี่ยงไม่ให้ดวงตาสัมผัสกับลมโดยตรง ใครที่นั่งทำงานในออฟฟิศ อย่านั่งเอาพัดลมจ่อหน้าหรือให้แอร์เป่าลมโดนหน้าโดยตรง เพราะจะทำให้ตาแห้งได้ หรือถ้าต้องขับรถมอเตอร์ไซค์ก็ควรสวมแว่นเพื่อป้องกันลม
5.รับประทานอาหารช่วยบำรุงสายตา ด้วยอาหารที่มีโอเมก้า 3 อย่างปลาทะเล, ผลไม้เบอรี่ที่มีวิตามิน บี และอาหารอื่นๆ อย่างเช่น ถั่ว, ผักใบเขียว และผลไม้รสเปรี้ยว
เลนส์ Zeen ตัวช่วยป้องกันอาการ ตาล้า รักษาสายตาไว้ ไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนวัย
รู้ถึงสาเหตุ รู้ถึงวิธีป้องกัน และบรรเทาอาการ ยังมีอีกสิ่งที่จะมาช่วยได้ ด้วยเทคโนโลยี เลนส์ Zeen เลนส์แว่นแบบใหม่” จากหอแว่น ที่จะมาช่วยลดภาระไม่ให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักเกินไป และมีจุดเด่นที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องของสายตา
เลนส์ Zeen นั้นออกแบบมาโดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 โซนด้วยกัน โดยโซนบนจะเป็น Clear Zone ที่ให้เราใช้มองในระยะปกติทั่วไป ให้ได้การมองเห็นที่คมชัด และโซนล่างจะเป็น Relax Zone ที่จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อตาเวลามองจ้องในระยะใกล้ๆ โดยตำแหน่งของ Relax Zone นั้นถูกคำนวนมาให้อยู่ต่ำกว่ารูม่านตาประมาณ 10-14 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เรามองเวลาที่จ้องดูใกล้ๆ ค่าเลนส์ในโซนนี้จะช่วยเร่งกำลังบวกให้ไปจากปกติเล็กน้อย จึงทำให้มองได้สบายมากขึ้น และมิติการมองในทั้ง 2 โซนก็มองได้สบายตา จนเราไม่รู้สึกว่าทั้ง 2 โซนนี้แตกต่างกัน และยังมี Digital Profile ช่วยเพิ่มระยะการมองใกล้ๆ เวลาใช้สมาร์ทโฟนหรือทำงานหน้าคอมได้กว้างและสบายกว่าเลนส์ทั่วๆ ไป
จุดดีแรกของ เลนส์ Zeen ก็คือ เป็นเลนส์ที่ใช้ตัดเป็นแว่นสายตาสั้น-ยาว-เอียงได้ตามปกติ คือมองตัวเลนส์แล้วไม่ได้ต่างจากเลนส์แว่นสายตาทั่วๆ ไปเลย และเลนส์ก็มีให้เลือกตัดกับกรอบแว่นได้ทุกแบบทุกแบรนด์ มีทั้งแบบบางแบบหนาให้เลือกได้ ผู้ใส่จึงไม่จำเป็นต้องใช้เป็นแว่นเสริมเพื่อใส่เฉพาะเวลาทำงานหรือใช้สายตา ตัดเป็นเแว่นหลักเพื่อใช้สวมได้ตลอดทั้งวัน และยังเลือกเข้ากับกรอบแว่นแฟชั่นต่างๆ ได้อย่างที่ต้องการ
ด้วยเหตุนี้ เลนส์ Zeen จึงไม่มีข้อจำกัดสำหรับการสวมใส่และใช้งาน คนมีปัญหาเรื่องค่าสายตาก็สามารถตัดได้ โดยจะมีฟังค์ชั่น Relax Zone มาช่วยให้เวลาใช้สายตาทำงานหน้าคอมหรือใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานานๆ มีอาการล้าน้อยลง ส่วนคนที่ไม่มีปัญหาค่าสายตา ก็สามารถตัดไว้เพื่อเป็นตัวช่วยถนอมสายตาไม่ให้มีอาการเกร็งล้า จนอาจจะเกิดผลเสียกับดวงตาในระยะยาวได้
ส่วนตัวผมชอบเลนส์ Zeen ในแง่ที่เป็นเลนส์ช่วยแก้ไขปัญหาตาล้า หรืออาการต่างๆที่เกิดจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ นอกจากนี้ เลนส์ zeen ยังสามารถเลือกทำคู่กับเลนส์ตัดแสงสีฟ้าที่ช่วยกรองคลื่นแสง HEV จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
หรือจะเลือกทำคู่กับเลนส์เปลี่ยนสีอัตโนมัติพรีเมียมจากแบรนด์ Transitions ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าปกป้องดวงตาแบบ 2 in 1 ในแว่นอันเดียว
ใครที่เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองกำลังประสบปัญหาหรือเริ่มมีอาการตาช้า มองเบลอเหมือนคนสายตาสั้นแบบชั่วคราว หรือตาแห้งแสบตาจากการทำงานหน้าคอม ต้องใส่ใจดูแลสุขภาพของดวงตาเพราะว่ามันคือสิ่งที่เสื่อมแล้วคุณก็ต้องอยู่กับมันไปทั้งชีวิต ดังนั้นในวันที่สุขภาพตายังดี จงถนอมมันเอาไว้เพื่อที่จะได้ให้เรามองโลกนี้ชัดสดใสไปนานๆ
หากใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เลนส์ Zeen สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.zenith.in.th/zeen หรือไปที่ร้านหอแว่นสาขาใกล้บ้านเพื่อปรึกษาเพิ่มเติม ดูรายละเอียดสาขาต่างๆ ได้ที่ https://btv.co.th/th/branch/