รีวิว Huawei Watch Fit (Active Edition) ครั้งนี้ปรับดีไซน์ใหม่ ขนาดตัวเรือนเล็กลง แต่ยังจัดเต็มฟีเจอร์การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา แบตเตอรี่ก็อึดถึกอยู่ได้ถึง 10 วัน ส่วนเรื่องของ ราคา ก็เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น เพียงแค่ 3,499 บาท เรียกว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ เลย สำหรับใครที่อยากได้นาฬิกาสำหรับออกกำลังกายในราคาที่ไม่สูงมาก
ตอนนี้เรียกได้ว่า Huawei พัฒนาอุปกรณ์สมาร์ทวอชได้รวดเร็วและต่อเนื่องมากๆ ล่าสุดก่อนหน้านี้กับซีรี่ย์ Watch GT2 ที่เรียกว่าคือรุ่นท็อปสุด ประสิทธิภาพนั้นดีเยี่ยมมากๆ ทั้งดีไซน์ และการใช้ออกกำลังกาย ต่อมาก็มีรุ่น Watch GT2E ที่ปรับดีไซน์และลดขนาดลงให้มีราคาที่ถูกลง ซึ่งตอนแรกเราก็ว่าจะเล็กสุดแล้ว แต่ก็ยังมีเจ้าตัวนี้คือ Huawei Watch Fit ออกมา
Huawei Watch Fit ถูกวางตำแหน่งไว้สำหรับคนที่ชอบไลฟ์สไตล์ออกกำลังกาย และเล่นกีฬา แล้วปรับดีไซน์ใหม่ให้มีขนาดที่เล็กลง แต่หน้าจอมีขนาดที่ใหญ่สำหรับดูรายละเอียดได้ชัดเจน โดยใส่คุณสมบัติเด่นที่มีในรุ่นพี่อย่าง Watch GT2 series มาแบบเกือบครบถ้วน
ก่อนจะเริ่ม รีวิว Huawei Watch Fit เรามาดูสเปคของเจ้านี่กันก่อนดีกว่า
สเปค Huawei Watch Fit (Active Edition)
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.64 นิ้ว ขอบบางเพียง 0.95 มิลลิเมตร หน้าจอรองรับการสั่งงาน
- ขนาด 46 x 30 x 10.7 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 21 กรัม (ไม่รวมสาย)
- ROM 4GB
- เชื่อมต่ Bluetooth 5.0
- กันน้ำ มาตรฐาน 5ATM (50 เมตร)
- รองรับโหมดการออกกำลังกายได้ 96 โหมด
- มีคอร์สฟิตเนส 12 รูปแบบ พร้อมภาพเคลื่อนไหวแนะนำแบบเรียลไทม์
- แบตเตอรี่ ชาร์จ 1 ครั้งใช้ได้นาน 10 วัน พร้อมระบบชาร์จเร็ว
- มีให้เลือก 4 สี Graphite Black, Mint Green, Cantaloupe Orange และ Sakura Pink
ในตัวกล่องแพ็กเกจ จะมีขนาดเล็กๆ ซึ่งข้างในนอกจากตัวของนาฬิกาแล้ว ก็จะมีสายชาร์จที่เป็นหัวแบบ USB ที่อีกฝั่งจะเป็นขั้วแบบแม่เหล็กสำหรับติดกับด้านหลังของนาฬิกาเพื่อชาร์จ แล้วก็มีเอกสารสำหรับแนะนำการใช้งานเบื้องต้น มีมาให้แค่นี้เลย มินิมอลมากๆ
มาดูที่นาฬิกากันเลย จะเห็นว่าหน้าปัดของ Huawei Watch Fit จะไม่เหมือนกับสมาร์ทวอชต่างๆ ที่มีในท้องตลาด ที่ส่วนใหญ่ไม่เป็นทรงกลม ก็เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส แต่นี่ มาเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแทน ซึ่งเราไม่ค่อยเห็นแบรนด์ไหนทำแบบนี้ ซึ่งออกมาก็ดูสวยดี ตัวเรือนเฟรมวัสดุเป็นอลูมิเนียมส่วนหน้าปัดเป็นกระจกมีมีขอบโค้งแบบ 2.5D เพื่อโค้งรับกับตัวเฟรม
ด้านหลังตัวเครื่องจะเป็นพลาสติก ที่จะมีเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของชีพจรแบบแสง และมีขั้ว 2 จุดสำหรับติดกับสายชาร์จเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ ส่วนหัวท้ายจะเป็นเขี้ยวพลาสติก ที่ให้เรางัดออกแล้วจะถอดเปลี่ยนสายนาฬิกาได้
ตัวสายนาฬิกาเป็นซิลิโคน สีเดียวกับตัวเรือน สำหรับ Huawei Watch Fit ที่ทีมงานได้มา รีวิว จะเป็นสีดำ Graphite Black ขนาดสายกำลังดีที่ใส่ข้อมือได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ด้านข้างตัวเรือนจะมีปุ่มสำหรับกดเปิดปิด (กดค้างไว้) และใช้เรียกปลุกหน้าจอ รวมถึงเรียกหน้ารวมเมนูการใช้งานขึ้นมาด้วย โดยการควบคุมจะสามารถใช้เป็นการสัมผัสที่หน้าจอ เลื่อนเปลี่ยนขึ้นลงเพื่อเลื่อนเปลี่ยนเมนู กดแตะเพื่อเลือก ปัดจากซ้ายมาขวาเพื่อ Back หรือกดปุ่มด้านข้างเพื่อออกมายังหน้าจอหลักได้
ส่วนที่หน้าจอหลัก เราเลื่อนปัดหน้าจอซ้ายขวาเพื่อดูข้อมูลด้านสุขภาพต่างๆ หรือเลือกใช้เมนูควบคุมเพลง ฯลฯ ได้ ปัดจากบนลงล่าง จะเลือกปรับ Setting ด่วน ทั้งเปลี่ยนโหมดแจ้งเตือน, สั่น, เปิดหน้าจอค้าง ฯลฯ ส่วนปัดจากล่างขึ้นบน จะเป็นการเรียกดูหน้าการแจ้งเตือนข้อความ
โดยรวมเรื่องของการดีไซน์ ที่เป็นจอแนวตั้ง ด้วยขนาดจอ 1.64 นิ้ว ถือว่าไม่เล็ก มองเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน แถมยังสดใสและคมชัด ด้วยความที่เป็น AMOLED สีสันต่างๆ มองเห็นได้ชัดแม้ว่าจะอยู่กลางแดด เพราะมีเซ็นเซอร์ที่ช่วยปรับความสว่างให้อัตโนมัติ ตามสภาพแสงรอบข้าง การแสดงผลเราเลือกให้จอเปิดขึ้นเมื่อยกข้อมือขึ้นมาดู หรือจะเปิดโหมด Always On แสดงหน้าปัดแบบ Minimal ก็ได้ (แต่จะมีผลกับการใช้แบตเตอรี่มากขึ้น)
ตัวสายนาฬิกาไม่นุ่มไม่แข็งเกินไป สวมใส่ได้สบาย ด้วยน้ำหนักตัวเรือนที่ 21 กรัมถือว่าเบามากๆ ใส่ได้ทั้งวัน รวมถึงตอนนอนได้แบบไม่รำคาญ ตัวสายเปลี่ยนได้ แต่ต้องงัดเขี้ยวล็อค ไม่ได้เป็นแบบ Quick Release
การใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน ผ่านแอป Huawei Health
เริ่มต้นการใช้งาน เราจะต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่น Huawei Health ลงในสมาร์ทโฟนของเราก่อน ถ้าคุณใช้สมาร์ตโฟนของ Huawei จะมีติดตั้งมาให้เรียบร้อย หรือจะเข้าไปโหลดใน Huawei App Store ก็ได้ สำหรับสมาร์ทโฟน Android เข้าไปค้นหาและโหลดได้ใน Google Play Store ส่วนใครที่ใช้ iPhone ก็ไปโหลดได้ใน App Store ด้วยเช่นกัน เรียกว่า รองรับใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม
ในแอพทำการลงทะเบียน Huawei Account เพื่อใช้งาน และเชื่อมต่อ Huawei Watch Fit กับสมาร์ทโฟน โดยจะเชื่อมต่อกันผ่าน Bluetooth เมื่อเชื่อมต่อได้แล้วจะมีการให้อัปเดทเฟิร์มแวร์ของตัวนาฬิกาให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด แนะนำให้วางนาฬิกาไว้ใกล้ๆ กับสมาร์ตโฟน ทิ้งไว้สักพักติดตั้งเสร็จ รีสตาร์ท ก็พร้อมใช้งานได้แล้ว
ในตัวแอป จะเอาไว้ใช้สำหรับจัดการเกี่ยวกับโปรไฟล์ของเรา ในเรื่องของสุขภาพ, เป้าหมายการออกกำลังกาย รวมไปถึงการตั้งค่าใช้งานหลายๆ อย่างร่วมกับตัวนาฬิกา
Health เป็นเมนูสรุปข้อมูลด้านสุขภาพและการออกกำลังกายของเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเดิน, การออกกำลังกาย, กิจกรรม, อัตราการเต้นของหัวใจ, การนอน, น้ำหนัก, ความเครียด, SpO2 และข้อมูลเกี่ยวกับรอบเดือน (สำหรับสาวๆ)
Exercise เมนูสำหรับเลือกการออกกำลังกาย ในนี้จะมีให้เลือกได้ทั้ง วิ่งกลางแจ้ง, วิ่งในร่ม, เดิน และปั่นจักรยาน โดยส่วนของการวิ่งจะมี Running Couse ให้เลือกเพื่อฝึกฝนได้
Discover หน้ารวบรวมคอนเทนต์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ของหัวเว่ย ทั้งนาฬิกาและสมาร์ทแบนด์รุ่นต่างๆ
Device สำหรับการ Add เพิ่มอุปกรณ์สวมใส่และใช้งานคู่กับสมาร์ทโฟน เมื่อเพิ่มเข้ามาแล้ว จะสามารถเข้าไปเลือกปรับแต่งได้ทั้ง Watch Face ตัวหน้าปัดที่มีให้เลือกเปลี่ยนได้เยอะมากๆ (แถมฟรีด้วย) พร้อมทั้งปรับตั้งค่าการแจ้งเตือนแอปต่างๆ ได้ว่าจะให้แอปอะไรส่งข้อความหรือเตือนขึ้นมายัง Huawei Watch Fit
Me ส่วนข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ เป็นทั้งการรวมสถิติการออกกำลังกายแบบรายสัปดาห์, รายเดือน, สรุปกิจกรรม และข้อมูลสุขภาพที่ Huawei Watch Fit เก็บข้อมูล ที่บอกให้แบบละเอียดดีมากๆ
ฟีเจอร์ด้านสมาร์ทวอช ของ Huawei Watch Fit
การใช้งานเมื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนแล้ว Huawei Watch Fit จะเป็นสมาร์ทวอชที่ช่วยให้ประสบการณ์ในแต่ละวันสะดวกยิ่งขึ้น และทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนได้มากกว่าเดิม
Music : สำหรับตัว Huawei Watch Fit นั้น หน่วยความจำภายในเครื่องจะไม่สามารถเก็บไฟล์เพลงได้ แต่มันจะใช้เป็นรีโมทควบคุมเพลงที่เล่นอยู่บนสมาร์ทโฟนได้ ช่วยให้สะดวกเวลาที่ฟังเพลงแล้วพกสมาร์ตโฟนอยู่ในกระเป๋า เราเลือกกดเล่น,หยุดเพลง, เปลี่ยนเพลง หรือปรับเพิ่มลดระดับเสียงผ่านนาฬิกาได้เลย
Remote Shutter ฟีเจอร์นี้จะใช้งานได้กับเฉพาะสมาร์ตโฟนของหัวเว่ยเท่านั้น สะดวกมากเวลาที่ต้องการตั้งกล้องมือถือ แล้วสั่งถ่ายภาพ เรากดได้จากที่นาฬิกาได้ จะเลือกแบบกดถ่ายเลยหรือกดแล้วนับถอยหลังก็ได้
- Notification ดูข้อความการแจ้งเตือนจากในสมาร์ตโฟน ที่จะแสดงผลเป็นภาษาไทยได้เต็มรูปแบบ ตัวหนังสืออ่านได้ชัดเจน อย่างถ้าเป็นพวกอีเมล์นี่คือสามารถอ่านเมล์จากในตัวนาฬิกาได้เลย
- Weather เช็คสภาพอากาศ และการพยากรณ์อากาศ
- Stopwatch นาฬิกาจับเวลา กดแบบ Pause หยุดชั่วคราวได้
- Timer ตั้งจับเวลานับถอยหลัง
- Alarm ตั้งนาฬิกาปลุก ที่เลือกเพิ่มเวลาได้หลายชุด
- Flashlight แตะเพื่อเปิดปิดหน้าจอเป็นแสงสว่าง ใช้ได้เวลาที่อยู่ในห้องมืดๆ
- Find Phone กดเพื่อสั่งให้สมาร์ตโฟนเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่ ส่งเสียงดังขึ้น เอาไว้ใช้เวลาที่หานาฬิกาไม่เจอ
การเปลี่ยนหน้าตา Watchface นั้น เราเลือกเปลี่ยนจากที่ตัว Huawei Watch Fit เลยก็ได้ โดยการกดแตะหน้าจอค้างไว้ประมาณ 2 วินาที ก็จะให้เราเลือกหน้าปัดที่ทำการ Install เอาไว้โดยไม่ต้องไปเลือกจากในแอป
การแจ้งเตือนนั้น ทำได้ดี เพราะว่าโชว์เป็นภาษาไทย อ่านง่าย และเวลาที่มีสายเรียกเข้า เราสามารถดูหมายเลขที่โทรเข้าได้ โดยจะเลือกกดตัดสายเวลาที่ไม่สะดวกรับสาย (รุ่นนี้ไม่มีไมโครโฟน)
ฟีเจอร์เด่น สำหรับสุขภาพและออกกำลังกาย
คราวนี้มาดูทีเด็ดสำหรับการออกกำลังกายกันบ้าง หัวเว่ยบอกว่า Huawei Watch Fit นั้นมีโหมดกำลังกายมาให้มากถึง 85 โหมด ที่เราเข้าไปดูแล้วก็ยอมรับว่ามากจริงๆ เริ่มด้วยการออกกำลังกายมาตรฐานนั้นมีมาให้ครบ ทั้งการวิ่ง, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน, เดิน, เครื่องเล่นฟิตเนสต่างๆ, เล่นเวท, แอโรบิค, โยคะ, พิลาทิส, ต่อยมวย, เทควันโด, บอดี้คอมแบท ฯลฯ
โดยจะมีให้เลือกบันทึกกิจกรรมอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นการเต้นรำ, รำไทเก็ก, เล่นฮูลาฮูป, ขี่ม้า, ยิงปืน รวมถึงการเล่นกีฬา เตะฟุตบอล, เล่นบาส, ตีแบต ฯลฯ ส่วนกีฬาทางน้ำ และกีฬาฤดูหนาวก็มีด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่อยากบันทึกว่าเราทำกิจกรรมแต่ละอย่างไปบ้างช่วงไหน นานแค่ไหน และเผาผลาญแคลอรี่โดยเฉลี่ยไปเท่าไร
การว่ายน้ำ การเก็บข้อมูลจะละเอียดทั้งในส่วนของอัตราการเต้นของหัวใจ, จำนวนสโตรคของแขน, รอบของการว่าย (การว่ายน้ำในสระ)
ฟีเจอร์เด่นที่นำเสนอในรุ่นนี้คือ Fitness Course เป็นการออกกายบริหาร 12 รูปแบบ ที่มีให้เลือกได้ ไม่ว่าจะเป็นการยืดเหยียดคลายกล้ามเนื้อ, ฝึกกายบริหารเฉพาะส่วน โดยจะเป็นคอร์สสั้นๆ ที่คุณสามารถหาเวลาว่างแต่ละวันลุกมาออกกำลังกายได้ โดยที่การออกกำลังกายจะมีภาพและวิดีโอโชว์ให้เห็นว่าจะต้องทำท่าอย่างไร และมีจังหวะการสั่นบอกว่าต้องเปลี่ยนท่าเมื่อไหร่
จริงๆ แล้ว ใน Huawei Watch Fit มีการใส่ฟีเจอร์สำหรับการวิ่งมาให้ค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ เพราะนอกจากการบันทึกแล้ว ยังมี Running Course ให้ฝึกวิ่งถึง 13 รูปแบบ เป็นในลักษณะการฝึกแบบ Interval คือวิ่งทำความเร็วสลับกับการพักเป็นจังหวะ เพื่อฝึกให้ร่างกายมีสมรรถภาพในการวิ่งที่ดีขึ้น หรือจะเลือกคอร์สวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก หรือฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายก็ได้
ส่วนฟีเจอร์ด้านสุขภาพ เรียกว่าทำดีตามมาตรฐานของอุปกรณ์สวมใส่ของหัวเว่ย มีการเก็บข้อมูลพื้นฐานทุกอย่างได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั้งตอนกลางวันและระหว่างนอน โดยนำมาประเมินและสรุปให้เห็นถึงความฟิตของร่างกาย และบอกให้เรารับรู้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดีได้ด้วย
- เก็บข้อมูลก้าวเดิน โดยให้เราตั้งเป้าหมายการเดินในแต่ละวันได้ แนะนำคือ 10,000 ก้าวต่อวัน
- Workout Status ประเมินสถานะร่างกายว่าออกกำลังกายเป็นอย่างไร มาก, น้อย หรือเกินกำลัง โดยจะวัดจากการวิ่งของเราในแต่ละวันต่อเนื่องกัน
- Heartrate โดยปกติแล้ว Huawei Watch Fit จะทำการวัดอัตราการเต้นของหัวใจเราตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อบอกว่าช่วงใดในแต่ละวัน หัวใจเราทำงานหนักมากน้อย หรือผิดปกติ
- SpO2 วัดค่าความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด เราสามารถเข้ามากดเพื่อทดสอบได้ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ห่วงเรื่องสุขภาพในเวลาที่เริ่มรู้สึกว่ามีอาการป่วยหรือไม่สบายหรือไม่ เพราะหากค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ ก็จะมีผลกับร่างกายได้ โดยการวัดจะเป็นการประเมินให้เราทราบ ไม่ได้แม่นยำระดับเครื่องมือแพทย์ แต่ก็พอช่วยเตือนหรือบอกสถานะได้อยู่
- Activity record สรุปกิจกรรมที่ควรทำในแต่ละวัน คือการเดิน, การออกกำลังกาย และการยืน ซึ่งควรทำให้ผ่านเป้าหมายในทุกๆ วัน
- Sleep เก็บข้อมูล และสรุปการนอน ที่จะบอกได้ว่าเรานอนไปกี่ชั่วโมง โดยนอนหลับเต็มอิ่มหรือไม่ โดยจะดูรายละเอียดย้อนหลังได้ในแอพ
- Stress ค่าความเครียด (จะไม่มีในระบบ iOS) จะวัดแล้วประเมินคะแนนเฉลี่ยว่าในแต่ละวันเรามีความเครียดมากน้อยเพียงใด
- Breathing Exercise ฝึกการกำหนดหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เพื่อทำสมาธิ และช่วยลดความเครียดได้
ทดสอบลองใช้งาน เพื่อออกกำลังกาย
ผมลองทดสอบการใช้งาน Huawei Watch Fit เพื่อการออกกำลังกาย โดยเลือกเป็นการวิ่ง รุ่นนี้มี GPS มาให้ในตัว นั่นคือคุณสามารถออกไปวิ่งเพื่อเก็บข้อมูลได้โดยไม่ต้องพกสมาร์ตโฟน วิ่งเสร็จกลับมาซิงค์ข้อมูลภายหลังก็ได้ ตอนเริ่มวิ่งกดระบุพิกัด GPS ทำได้ค่อนข้างรวดเร็ว รอประมาณ 10-15 วินาทีเท่านั้น
การวิ่งนั้น หน้าจอจะมีบอกข้อมูลโซนของ Heartrate ที่แบ่งเป็น 5 โซน เป็นฟีเจอร์สำคัญมากสำหรับการวิ่ง เพื่อที่จะควบคุมได้ว่าต้องการวิ่งเพื่อออกกำลังกาย, เผาผลาญแคลอรี่, ฝึกกล้ามเนื้อ และเตือนได้ว่าหัวใจของเราไม่ได้วิ่งจนอยู่ในโซนที่สูงเกินไป แล้วอาจจะเกิดอันตรายได้
ระหว่างการวิ่งจะมีเตือนบอกเราได้ว่า เราวิ่งครบทุก 1 กิโลเมตร และที่หน้าจอจะบอกข้อมูลว่า เราวิ่งด้วยความเร็วเท่าไร ประเมินเป็น Pace (ความเร็วต่อ 1 กม.) ระยะทาง และเป็นเวลาเท่าไร ถือเป็นตัวช่วยให้เราควบคุมการวิ่งได้ง่ายยิ่งขึ้น
หลังจากจบการวิ่ง กดบันทึกกิจกรรม จะมีการสรุปสถิติต่างๆ ให้ว่าการวิ่งของเราเป็นอย่างไร จากนั้นข้อมูลก็จะถูกส่งไปบันทึกในแอป Huawei Health โดยจะจัดเรียงตามวัน มีบอกโดยแสดงผลเป็นกราฟที่ดูได้ง่าย มีเส้นทางการวิ่งบนแผนที่ดาวเทียม และมีการประเมินค่าระดับสูงอย่าง VO2Max อัตราการใช้งานออกซิเจนสูงสุดระหว่างที่วิ่ง เพื่อระบุถึงความฟิตของร่างกาย และระยะเวลาที่เราควรพักฟื้นฟูร่างกาย และประเมินระดับการออกกำลังกาย
ค่าต่างๆ เหล่านี้ ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้าง Advanced ชนิดที่ว่าเอาไปประเมินและฝึกฝนเพื่อเป็นนักวิ่งระดับอาชีพได้เลย
สรุป รีวิว Huawei Watch Fit น่าใช้แค่ไหน และเหมาะกับใคร?
Huawei Watch Fit ถือว่าน่าประทับใจมาก สำหรับใครที่อยากได้นาฬิกาสำหรับออกกำลังกาย ในราคาที่ไม่สูงมาก ระบบของ Huawei Health ตอนนี้เก็บข้อมูลพร้อมประเมินให้เราได้ในระดับที่สูสีกับนาฬิกาวิ่งแบรนด์อื่นที่ราคาสูงมากๆ ได้เลย ฟีเจอร์การใช้งานเป็นสมาร์ตวอชร่วมกับมือถือก็ตอบโจทย์ได้ครบถ้วน การแสดงผลเป็นภาษาไทยได้เต็มรูปแบบ ตัวหนังสือใหญ่ชัด อ่านแจ้งเตือนได้ชัดเจน
การเก็บข้อมูลด้านสุขภาพ อย่างการนอน สามารถเก็บสเตจการนอนได้ละเอียด ตั้งแต่หลับลึก, หลับตื่น, REM และการตื่นนอน รวมไปถึงการหลับงีบระหว่างวัน โดยจะมีมาประเมินเป็นคะแนนให้ดูด้วยว่าในแต่ละวันเราหลับเพียงพอและมีคุณภาพมากแค่ไหน
เรื่องของแบตเตอรี่ ทำดีแบบไม่ผิดหวัง แม้ว่าขนาดตัวเรือนจะเล็ก แต่ความอึดนั้นดีมากๆ ตามสเปคหัวเว่ยบอกว่าใช้ต่อเนื่องได้นานสูงสุดคือ 10 วัน การทดสอบผมใช้แบบเต็มที่ เปิดการแจ้งเตือนทุกอย่าง มีใส่ไปออกกำลังกายที่ต้องใช้ GPS ฯลฯ แบตเตอรี่ชาร์จเต็ม 100% สามารถอยู่ได้ถึง 8 วัน เรียกว่าน้อยกว่าที่เคลมไว้เพียงเล็กน้อย และการชาร์จก็ทำได้เร็วมาก ผมสามารถชาร์จจาก 0% จนเต็มได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
มาถึงจุดสังเกตที่มีขัดใจอยู่บ้างในการใช้งาน เริ่มด้วยตัวแอป Huawei Health บน iOS นั้น จะมีฟีเจอร์น้อยกว่า Android อยู่ อาทิ ไม่สามารถเลือกติดตั้ง Watchface เพิ่มได้ คือถ้าอยากเปลี่ยนต้องไปเชื่อมต่อของ Android แล้วค่อยกลับมาซิงค์กับ iOS และยังไม่มีวัด Stress ให้ ซึ่งจุดนี้ต้องรอให้ทางทีมงานหัวเว่ยพัฒนาให้ทั้ง 2 แพลฟอร์มใช้งานได้เท่าเทียมกัน
และอีกสิ่งสำคัญ ที่ผมอยากให้หัวเว่ยเพิ่มเติมให้กับ Huawei Health ก็คือ การเชื่อมต่อข้อมูลการออกกำลังกายกับแอปอื่นๆ ด้วยความที่การเก็บข้อมูลได้ดีมากๆ ครบถ้วน แต่ว่าไม่สามารถแชร์ไปยังแพลตฟอร์มการออกกำลังกายอื่นๆ ที่เป็นที่นิยม อย่างเช่น Strava หรือ Endomndo ได้ ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้ด้านการออกกำลังกายที่ให้เราเอาสถิติไปแข่งหรือแชร์กับผู้ใช้แบรนด์อื่นๆ ได้ ซึ่งถ้ามีฟีเจอร์นี้ขึ้นมา จะทำให้นาฬิกาของหัวเว่ยสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ใครที่อยากได้สมาร์ตวอชฟีเจอร์ครบๆ ดีไซน์เรียบแต่สวยดูดี ขนาดกำลังดีที่ใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง น้ำหนักเบา แบตอึด Huawei Watch Fit ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ในกลุ่มราคานี้ สามารถหาซื้อได้แล้วที่ Huawei Brand Shop ทั่วประเทศ ราคา 3,499 บาท