Apple เซอร์ไพรส์ด้วยการเปิดตัว New iPad Air โฉมใหม่ ต่อจากการเปิดตัว iPad รุ่นที่ 8 โดย iPad Air โฉมใหม่นั้นมาพร้อมกับชิปที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดของ Apple นั่นคือ A14 Bionic ที่เรียกว่า ได้ใช้ก่อน iPhone 12 ที่ยังไม่เปิดตัวเสียอีก ส่วนเรื่องราคาเริ่มต้นกันที่ 19,900 บาทเท่านั้น
iPad Air โฉมใหม่ มาพร้อมกับหน้าจอที่ขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมระบบกล้องและระบบเสียงที่อัปเกรดใหม่ และที่น่าสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้น ฟีเจอร์ Touch ID ที่รวมเอาไว้ในปุ่มเปิด-ปิด ที่อยู่มุมบนขวาของตัวเครื่อง และมาพร้อมกับชิป A14 Bionic ที่เคลมว่าเป็นชิปที่ประสิทธิภาพสูงที่สุดของ Apple ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 5nm
iPad Airใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ สีโรสโกลด์ สีเขียว และสีสกายบลู มาพร้อมดีไซน์ใหม่ที่บางและเบา มาพร้อมหน้าจอ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว ที่ให้ภาพที่ดูสวยขึ้น ด้วยความละเอียด 3.8 ล้านพิกเซล และมาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูงอีกมาก เช่น กระบวนการ Full Lamination, การรองรับขอบเขตสีกว้างแบบ P3, การแสดงผลแบบ True Tone และการเคลือบป้องกันแสงสะท้อน เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์การรับชม เพื่อให้จอภาพแสดงผลได้อย่างเต็มที่ทุกด้าน
ส่วนที่น่าสนใจอยู่ที่การรวมเอาเซ็นเซอร์ Touch ID รุ่นใหม่มาไว้รวมกับปุ่มเปิด-ปิดเครื่องที่อยู่มุมขวาบนของ iPad โดยผู้ใช้งาน สามารถปลดล็อคเพียงแค่สแกนลายนิ้วมือจากปุ่มดังกล่าวเพื่อ ปลดล็อคเครื่อง ลงชื่อเข้าใช้ หรือเพื่อใช้ Apple Pay เป็นต้น
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ iPad Air ใหม่น่าสนใจขึ้น คือ ชิป A14 Bionic ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ iPad ได้มาก โดยชิปตัวนี้รองรับการประมวลผลแม้กระทั่งแอปที่ใช้ทรัพยากรเครื่องหนักๆ เช่น แอปตัดต่อวิดีโอระดับ 4K หรือเล่นเกมที่มีความละเอียดของภาพสูงมากๆ ก็สามารถทำงานได้อย่างสบายๆ A14 Bionic เป็นชิปประมวลผลตัวแรกของโลกที่ใช้กระบวนการผลิตแบบ 5 นาโนเมตร อัดแน่นไปด้วยทรานซิสเตอร์ 11,800 ล้านตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและช่วยเรื่องการประหยัดพลังงานที่ดีขึ้น
A14 Bionic เป็นชิปประมวลผลตระกูล A ตัวล่าสุดที่ใช้แกนประมวลผลแบบ 6-core ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ CPU ได้ถึง 40% และสถาปัตยกรรมกราฟิกแบบ 4-core ที่เพิ่มความสามารถด้านกราฟิกได้ 30% ชิป A14 Bionic ใช้ Neural Engine แบบ 16-core ที่เร็วขึ้นเป็นสองเท่า และสามารถประมวลผลข้อมูลต่างๆ ได้ถึง 11 ล้านล้านรายการต่อวินาที เข้ามาช่วยยกระดับแอปที่อาศัยการเรียนรู้ของระบบให้ทำงานดีขึ้นได้อีก นอกจากนี้ ชิป A14 Bionic ยังมีตัวเร่งความเร็วด้านการเรียนรู้ของระบบรุ่นที่ 2 ใน CPU เพื่อการคำนวณที่รวดเร็วขึ้นถึง 10 เท่า ด้วยการรวมตัวกันของ Neural Engine ใหม่ ตัวเร่งความเร็วด้านการเรียนรู้ของระบบใน CPU และ GPU ประสิทธิภาพสูงนี้ ทำให้ระบบต่างๆ ในอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการรู้จำภาพ การเรียนรู้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ การวิเคราะห์การเคลื่อนไหว และอื่นๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อัปเกรดระบบกล้องและระบบเสียงใหม่ให้ดีขึ้น โดยกล้องหน้ามีความละเอียด 7 ล้านพิกเซลสำหรับใช้โทร FaceTime และกล้องหลังมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลแบบเดียวกับที่ใช้ใน iPad Pro เพื่อใช้ถ่ายรูปให้มีความละเอียดที่สูงขึ้น อีกทั้งยังรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ด้วย เรื่องเสียงนั้น iPad Airรุ่นใหม่ มีลำโพงสเตอริโอในโหมดแนวนอนซึ่งยกระดับประสบการณ์เสียง ผู้ใช้จะได้รับฟังเสียงสเตอริโอที่มีมิติเสียงกว้างขึ้นขณะชมวิดีโอ
iPad Airรุ่นใหม่ใช้พอร์ต USB-C ที่รองรับการโอนข้อมูลสูงสุด 5Gbps เร็วกว่าเดิม 10 เท่า สามารถเชื่อมต่อกล้อง ฮาร์ดไดรฟ์ เพื่อถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น หรือจะต่อออกจอภาพนอกด้วยความละเอียดสูงระดับ 4K ก็ทำได้
New iPad Air เตรียมวางจำหน่ายเร็วๆนี้ โดยรุ่น Wi-Fi ราคา เริ่มต้นที่ 19,900 บาท และรุ่น Wi-Fi+Cellular ราคาเริ่มต้นที่ 24,400 บาท มีให้เลือก 2 ความจุ คือ 64GB และ 256GB มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ สีโรสโกลด์ สีเขียว และสีสกายบลู และสามารถเริ่มดาวน์โหลดใช้งาน iPadOS 14 ได้วันที่ 17 กันยายน 2020
รองรับการใช้งาน Apple Pencil รุ่นที่ 2 ผู้ที่สนใจจะต้องซื้อแยกในราคา 4,490 บาท รวมถึงรองรับการใช้งาน Magic Keyboard และ Smart Keyboard Folio ที่ต้องซื้อแยกต่างหากในราคา 9,990 บาท และ 5,990 บาท โดยทั้งสองแบบมีรูปแบบการจัดวางปุ่มให้เลือกมากกว่า 30 ภาษา รวมถึงจีนตัวย่อ ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น และสเปน
ทั้งนี้ Apple มีราคาส่งเสริมการศึกษาให้สำหรับนักเรียนและนักศึกษา สามารถซื้อ iPad Air ได้ในราคาเริ่มต้น 18,300 บาท Apple Pencil รุ่นที่ 2 ราคา 4,190 บาท Smart Keyboard Folio ในราคา 5,300 บาท และ Magic Keyboard ในราคา 9,300 บาท
ที่มา : Apple