รีวิว Vivo V20 Pro 5G สมาร์ทโฟนรองรับ 5G ที่ตัวเครื่องบางที่สุด พัฒนาเรื่องกล้องได้ล้ำยิ่งขึ้น ด้วยกล้องหน้าคู่ 44 ล้านพิกเซล มี Eye Autofocus กล้องหลัง 64 ล้านที่ถ่ายเก็บทุกช็อตได้ในทุกสถานการณ์ ดีไซน์เครื่องที่สวยโฉบเฉี่ยว เป็นความลงตัวของสมาร์ทโฟนที่มีครบทุกอย่างที่ต้องการ ที่สำคัญกับ ราคา เปิดตัวที่ 14,999 บาท เรียกได้ว่า Vivo V20 Pro เป็นสมาร์ทโฟนรองรับ 5G ในราคาที่คุ้มค่ามากเลยทีเดียว
Vivo จัดไม้เด็ดช่วงปลายปี ที่ส่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ รองรับการใช้งาน 5G ในไทย โดยอยู่ในกลุ่มราคาระดับ Mid-Tier คือประมาณ 15,000 บาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก โดยจัดเอา V20 Pro 5G มาให้ชาวไทยได้ใช้กัน ถือว่าเป็นรุ่นที่ทำการบ้านหลายอย่างมาเป็นอย่างดี
รีวิว Vivo V20 Pro 5G แกะกล่อง Unbox
ตัวกล่องแพ็คเกจนั้น เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามาตรฐานแบบเดียวกับ V series รุ่นก่อนๆ โดยตัวกล่องจะมาเป็นสีน้ำเงินเข้ม ที่หน้ากล่องมีคำว่า V20 Pro เป็นสีเงิน และลวดลายด้านหลังเป็นรูปตัว V ให้ความรู้สึกเท่ขรึมดูทันสมัย ที่หน้ากล่องมีบอกสเปคเรียบร้อยเรื่องของความจุ ด้วย RAM 8GB และ ROM 128GB
ด้านหลังกล่องมีบอกฟีเจอร์ขายหลักของรุ่นนี้ ก็คือ กล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล Eye Autofocus, ตัวเครื่องที่มีความบางและน้ำหนักเบา, กล้องหลัง 64 ล้านพิกเซลถ่ายกลางคืนได้ดี และใช้ชิปเซ็ตรุ่นใหม่อย่าง Qualcomm Snapdragon 765G ที่พร้อมรองรับ 5G
อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง จะมีทั้งตัวเคสใสแบบ TPU เอาไว้สำหรับกันรอยกันกระแทกตัวเครื่องที่ใส่แล้วก็ยังจับถนัดมือ เพราะว่าตัวเครื่องนั้นบางมากๆ มีเอกสารคู่มือการใช้งานเบื้องต้น, การรับประกัน และเข็มจิ้มถาดซิมมาให้
สายเคเบิ้ลที่แถมมาให้ในกล่อง จะเป็นสายแบบ USB-C to USB-A สำหรับใช้งานคู่กับอแดปเตอร์ชาร์จที่แถมมาให้ รองรับมาตรฐานชาร์จเร็ว Vivo FlashCharge 2.0 ที่กำลังไฟ 33W
ตัวชุดหูฟังแบบสมอลทอล์คมีแถมมาให้ในชุดด้วย เป็นหัวเสียบแบบ 3.5 มิลลิเมตร แต่ว่าตัวเครื่องไม่มีช่องเสียบ เลยมีแถมตัว Dongle แปลง USB-C เป็นพอร์ต 3.5mm มาให้ด้วยในชุด
ลองสัมผัส ดูดีไซน์เครื่อง
ตัวเครื่องนั้น สัมผัสแรกเลยรู้สึกได้ถึงความพรีเมี่ยมที่เรียบๆ แต่ดูดีมากๆ กับความรู้สึกแรกที่หยิบขึ้นมาก็คือ “มันเบามากๆ” คือช่วงปีที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนทั่วไปในท้องตลาด น้ำหนักนั้นจะอยู่ที่เกือบ 190-200 กรัม หรือว่ามากกว่านั้น แต่สำหรับ Vivo V20 Pro 5G นั้น น้ำหนักอยู่ที่เพียง 170 กรัมเท่านั้น ยิ่งถ้าเทียบกับเฉพาะสมาร์ทโฟน 5G รุ่นนี้ถือว่ามีน้ำหนักที่เบาที่สุดแล้ว
ตัวเครื่องด้านข้างนั้น มีความหนาเพียงแค่ 7.39 มิลลิเมตร ที่ส่วนใหญ่เราจะเจอรุ่นอื่นๆ หน้ากันที่ 8-9 มิลลิเมตรไปแล้ว แถมยังทำขอบจอให้มีความโค้งแบบ 2.5D สวยงามอย่างลงตัว
เริ่มกันที่ด้านหน้าจอเครื่อง มีขนาด 6.44 นิ้ว แบบ AMOLED ความละเอียด FHD+ (2400×1080) อัตราส่วน 20:9 โดยมีเว้น Notch ตรงกลางด้านบน สำหรับกล้องหน้าคู่ ตัวกล้องหลักความละเอียด 44 ล้านพิกเซล และกล้องมุมกว้าง Wide-Angle โดยมีช่องไมโครโฟนสนทนาหลบอยู่ที่ขอบด้านบน
หน้าจอเป็นแบบจอเรียบไม่ได้เป็นขอบโค้ง เว้นขอบด้านข้างไว้น้อยมา ให้มุมมองที่เต็มตาเต็มพื้นที่ โดยตัวหน้าจอจะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ สำหรับใช้สแกนนิ้วบนหน้าจอ เพื่อปลดล็อคเครื่อง การใช้งานทำได้รวดเร็วทันใจมาก
มาดูที่ดีไซน์ด้านหลังเครื่องกันบ้าง เห็นแว้บแรกบอกเลยว่า นึกถึง Vivo X50 Pro 5G ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้เลย มีความคล้ายกันมากๆ โดยเฉพาะการจัดวางตำแหน่งกล้องนั้น แทบจะเหมือนกันเลย โดยฝาหลังจะใช้เทคโนโลยี AG Matte Glass ที่ให้ความสวยงาม หรูหรา โดยมีคุณสมบัติตัวผิวสัมผัสที่เรียบเนียนมากขึ้น อีกทั้งพื้นผิวที่เป็นสีแบบด้าน ทนทานต่อรอยขีดข่วนได้ดี และยัมีเทคโนโลยี AF เคลือบป้องกันตัวโทรศัพท์ ช่วยให้เกิดรอยนิ้วมือเวลาถือได้อีกด้วย
มาดูกันเรื่องของสี Vivo V20 Pro 5G มีเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยด้วยกัน 3 สีคือ สีดำ Midnight Jazz, (รุ่นที่ทีมงาน รีวิว) สีขาว Moonlight Sonata และ สีน้ำเงิน Sunset Melody โดยแต่ละสีนั้น มีแรงบันดาลใจมาจากการหล่อหลอมศิลปะ เทรนด์ และความคลาสสิคเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อแสดงถึงความงามอย่างเป็นธรรมชาติ
- สีดำ Midnight Jazz ความลึกลับแห่งสีดำ ที่เปี่ยมไปด้วยพลัง แสดงถึงความสงบและความมั่นใจ
- สีขาว Moonlight Sonata จะเป็นตัวแทนของสีขาวที่บริสุทธิ์ เสมือนดังแสงจันทร์ที่ตกกระทบบนท้องทะเล ให้ความรู้สึกสงบสุขไปจนถึงก้นบึ้งหัวใจ
- สีน้ำเงิน Sunset Melody ให้ความรู้สึกที่เพลิดเพลิน กับเฉดสีสันอันเร่าร้อน สื่อให้รู้สึกถึงบรรยากาศของชายหาดยามพระอาทิตย์ตก
มาดูตรงโมดูลกล้องกันบ้าง ทาง Vivo เรียกดีไซน์นี้ว่า Dual Tone Step ที่เป็นการจัดเรียงกล้องหลังอย่างเป็นระเบียบ โดยมีแบ่งเป็นชั้น ไล่ดูกันชั้นแรกคือจะเป็นตัวเลนส์กล้อง 3 ตัว เป็นสีดำ ดัดต่อมาชั้นที่ 2 เป็นกรอบของฐานที่เป็นสีเงินด้าน มีไฟแฟลช LED และข้อความ Hybrid Zoom อยู่ จากนั้นจึงมาเป็นชั้นของฝาหลังที่เป็นกระจก และถ้าสังเกตดีๆ ที่ขอบฐานด้านซ้ายของชุดกล้อง จะมีรูของไมโครโฟนตัวที่ 3 ซ่อนอยู่ด้วย
จะเห็นว่าการเล่นระดับนั้น เรียงกันเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกเหมือนเลนส์ของกล้องถ่ายรูปจริงๆ และชุดโมดูลกล้องนี้ก็มีความหนาจากตัวเครื่องน้อยมาก ดูที่ตัวเลนส์กัน จะมีกล้องตัวใหญ่สุดคือกล้องหลัก ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล, เลนส์มุมกว้าง Ultra Wide Angle 8 ล้านพิกเซล และกล้อง Mono 2 ล้านพิกเซล
ด้านข้างตัวเครื่อง อย่างที่บอกไปว่า มันบางมากๆ เพียง 7.39 มิลลิเมตร ทางซ้ายคือเรียบๆ ไม่มีปุ่มอะไร ส่วนทางขวาจะเป็นปุ่มปรับเพิ่มลดเสียง และปุ่ม Power ส่วนด้านบนจะมีช่องไมค์ตัดเสียงรบกวน
ด้านล่างจะมีช่องสำหรับกดออกมาเป็นถาดซิม รองรับใส่ซิมขนาด Nano SIMS ได้ 2 ซิม ใช้งานเป็นแบบ Dual Standby ต่อมาจะเป็นช่องไมค์สนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อและชาร์จไฟแบบ USB-C และลำโพงเครื่อง
สเปค Vivo V20 Pro 5G
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 765G 5G
- RAM 8GB
- หน่วยความจำภายใน 128GB (UFS 2.1)
- แบตเตอรี่ 4000 mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว Vivo FlashCharge 2.0 33W
- มีให้เลือก 3 สี สีดำ Midnight Jazz, สีขาว Moonlight Sonata และ สีน้ำเงิน Sunset Melody
- ระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 11 บนพื้นฐาน Android 10
- ขนาดตัวเครื่อง 158.82 x 74.20 มิลลิเมตร
- หนา 7.39 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 170 กรัม
- วัสดุ หน้าจอ+ฝาหลัง เป็นกระจก เฟรมเป็นโพลีคาร์บอเนต
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.44 นิ้ว FHD+ (2400×1080) รองรับ HDR10+
- รองรับ 2 ซิม Dual Standby คลื่นความถึ่ 2G / 3G / 4G / 5G NSA (n41/n78), 5G SA (n1/n3/n41/n77/n78)
- กล้องหน้าคู่ 44MP Autofocus (f/2.0) + Ultra-wide 8MP (f/2.28)
- กล้องหลัง 3 เลนส์ พร้อมไฟแฟลช LED
- กล้องหลัก 64MP PDAF (f/1.89)
- กล้องมุมกว้าง Ultra Wide Angle / Macro / Bokeh 8MP (f/2.2)
- กล้อง Mono 2MP (f/2.4)
- เชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 2.4GHz, 5GHz / Bluetooth 5.0
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
กล้องหน้าคู่ 44 ล้านพิกเซล พร้อม Eye Autofocus
จากดีไซน์ มาเข้าเรื่องกล้องกันก่อนเลย เพราะ Vivo V20 Pro 5G นั้น เน้นย้ำและชูจุดเด่นเรื่องของกล้อง อย่างตัวกล้องหน้าที่ใช้เป็นแบบกล้องคู่ ความน่าสนใจคือตัวกล้องหลักความละเอียดให้มาถึง 44 ล้านพิกเซล แถมยังเป็นแบบ Autofocus ไม่ใช่ Fix Focus ทำให้ในการถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหน้านั้น มีความสามารถในการจับโฟกัสได้ดีขึ้นมาก
ระบบออโต้โฟกัสในกล้องหน้า สามารถจับโฟกัสได้ในระยะใกล้สุดคือ 15 เซนติเมตร การทำงานนั้นมีฟีเจอร์ที่น่าทึ่งแบบกล้องถ่ายรูปคือ ระบบ Eye Autofocus คือการโฟกัสแบบล็อคที่ดวงตาของเรา ทำให้ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ถ่ายภาพหรือวิดีโอด้วยกล้องหน้า กล้องจะจับโฟกัสที่ดวงตาของคุณ ในการถ่ายด้วยกล้องหน้าจึงมีความคมชัดของใบหน้าของเรา ได้ในทุกจังหวะและอริยบท ไม่ว่าจะเดิน หรือเวลาที่ถ่ายบางทีตาอาจจะไม่มองกล้อง แต่กล้องนั้นมองคุณตลอดเวลา โอกาสที่การถ่ายเซลฟี่ภาพจะเบลอไม่ชัดจึงน้อยลงมาก
อีกเลนส์กล้องที่ใส่มาด้วย คือเลนส์มุมกว้างแบบ Wide-Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เก็บระยะมุมมองภาพได้กว้าง 105 องศา โดยตัวซอฟท์แวร์จะมีอัลกอริธึมช่วยปรับลดความบิดเบือนของขอบเลนส์ไม่ให้ภาพเสียสัดส่วน
เมื่อมีเลนส์มุมกว้าง ช่วยให้การถ่ายเซลฟี่เก็บมุมได้กว้างขึ้น ไม่ได้เห็นแค่หน้าเรา แต่อยากจะถ่ายหลายคนเป็นหมู่คณะก็ทำได้ หรืออยากจะให้เห็นทิวทัศน์สถานที่รอบข้างก็ทำได้เช่นกัน รวมถึงเลนส์มุมกว้างนั้นยังทำหน้าที่ช่วยเรื่องการแยกฉากพื้นหลังกับตัวบุคคล เพื่อถ่าย Portrait ละลายฉากหลังได้ด้วย
ทีเด็ดของกล้องหน้าเซลฟี่ยังไม่หมด เพราะว่าจะถ่ายตอนกลางคืนหรือแสงน้อย ก็ยังเอาอยู่ ด้วย AI low-light portrait มาช่วยปรับแสงสว่างให้กับใบหน้าของเรา และยังมีโหมด Selfie Softlight Band ที่มาช่วยเพิ่มแสงให้กับใบหน้าของเราเวลาที่ถ่ายเซลฟี่กลางคืน ให้สว่างและคมชัด พร้อมปรับอุณหภูมิสี ให้เข้ากับโทนสีผิวออกมาเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยปรับตามแสงโดยรอบให้โดยอัตโนมัติ
กล้องหลัง 3 เลนส์ 64 ล้านพิกเซล เก็บครบทุกมุมมอง
มาดูที่กล้องหลังกันต่อ ประกอบด้วย กล้องหลัก ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.89 ทำงานร่วมกันกับ เลนส์มุมกว้าง Ultra Wide Angle 8 ล้านพิกเซล f/2.2 และกล้อง Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล f/2.4
ตัวกล้องหลักความละเอียดที่ให้มาสูงถึง 64 ล้านพิกเซล ช่วยให้เก็บรายละเอียดของภาพได้มากขึ้น ความสามารถในการซูมจะเป็น Digital 2x และ Digital ซูมได้ไกลสุด 10x ตัวเลนส์อื่นอย่าง Supe Wide Angle ที่เก็บได้มุมกว้างถึง 120 องศา ทำหน้าที่ทั้งเก็บภาพมุมกว้าง, ถ่ายภาพ Macro ระยะใกล้ได้ถึง 2.5 เซนติเมตร และยังใช้ในการวัดระยะเพื่อทำโบเก้ตอนถ่ายภาพบุคคลได้อีกด้วย ส่วนกล้อง Mono จะช่วยในเรื่องเก็บรายละเอียดและแสงเงาในการถ่ายภาพให้ดียิ่งขึ้น
ประสิทธิภาพของกล้องหลัง Vivo V20 Pro 5G นั้น ถือว่าพัฒนาขึ้นมาเยอะมากๆ เรื่องของซอฟท์แวร์ลูกเล่นนั้น ถือว่าแพรวพราวจัดเต็มมาก ตัวเลือกพื้นฐานของปรับฟิลเตอร์สีมีมาให้เลือกมากมาย มีเพิ่ม Style ขึ้นมาให้เลือกย้อมสีภาพในอารมณ์ต่างๆ ได้มากมาย และในโหมด Beauty ก็มีเลือก Make Up ปรับโทนการแต่งหน้าไม่ว่าจะเติมลิป, ปัดแก้ม เขียนคิ้ว ให้เลือกเพิ่มเติม
โหมดกลางคืนของกล้องหลัง มีเลือกสไตล์และฟิลเตอร์ ที่สร้างสีสันของยามค่ำคืนให้แปลกไปจากที่เคย เปลี่ยนอารมณ์แสงไฟเดิมๆ ให้ดูแฟนตาซี อย่างเช่นโทนสีดำทอง, น้ำเงิน, เขียวส้ม หรือแบบไซเบอร์พังค์ ลองๆ ใช้แล้วถ่ายสนุกดีเหมือนกัน
และการถ่ายในสภาพแสงน้อยมากๆ จะเลือกเปิด Tripod Mode หรือโหมดขาตั้งกล้อง เพื่อยืดระยะเวลาการเปิดรับแสงและเพิ่มความเสถียรให้กับการถ่ายภาพกลางคืนให้สวยงามมากขึ้น และโหมดกลางคืนของ Vivo V20 Pro 5G ยังมีระบบ AI noise cancellation ลดเม็ดจุดสีรบกวนขึ้นในภาพให้น้อยลง และ Sky Divider ช่วยให้ภาพถ่ายท้องฟ้ากลางคืนเห็นชัดได้ อย่างก้อนเมฆ
ถ่ายวิดีโอได้เหนือชั้น
อีกการพัฒนาเรื่องกล้องบน Vivo V20 Pro 5G คือการถ่ายวิดีโอ มีการเพิ่มประสิทธิภาพในหลายๆ จุด ที่ช่วยให้ถ่ายวิดีโออกมาได้ดีในหลากหลายสถานการณ์ เริ่มด้วยระบบป้องกันการสั่นไหว Ultra Stable นั้น มีมาให้ใช้ได้ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้า ทำให้เวลาถ่ายวิดีโอเซลฟี่แล้วเดินไปด้วย ภาพที่ได้มีความเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลดีมาก รวมถึงการถ่ายวิดีโอ ยังคงมีเรื่องการ Autofocus ล็อคที่ใบหน้าให้อย่างแม่นยำ
ความสามารถเรื่องการโฟกัสของการถ่ายวิดีโอ มีขั้น Advanced ไปอีกด้วย Motion Auto Focus ที่เราเลือกจับโฟกัสแบบติดตามวัตถุได้ เพียงแค่เราแตะ 2 ครั้งที่ตัวบุคคลหรือวัตถุใดๆ ก็ได้ จะมีขึ้นกรอบสี่เหลี่ยมล็อคโฟกัสที่วัตถุนั้น เหมาะสำหรับต้องการถ่ายวิดีโอในซีนที่มีการเคลื่อนไหวเยอะๆ อย่างสัตว์เลี้ยง รถยนต์ หรือเดินตามคน ก็ช่วยให้ไม่หลุดโฟกัสหรือเกิดความวูบวาบของภาพได้
อีกหัวใจสำคัญของการถ่ายวิดีโอคือการบันทึกเสียง Vivo V20 Pro 5G พัฒนาระบบ 3D Sound Tracking ที่ใช้ไมค์ถึง 3 ตัวในการเก็บเสียง ระหว่างการถ่ายวิดีโอ เราสามารถเลือกได้จะเก็บเสียงแบบใด โดยปรับได้ 3 แบบด้วยกันคือ
- เก็บเสียงแบบรอบทิศทาง สำหรับการถ่ายวิดีโอทั่วไป ที่ต้องการให้ได้บรรยากาศแบบครบถ้วนทุกมิติ
- Front recording เน้นเก็บเสียงด้านหน้า เหมาะสำหรับการเป็นตากล้องถ่ายคนพูดด้านหน้าของเรา
- Rear recording เน้นเก็บเสียงของตัวเราที่เป็นคนถือกล้อง เหมาะเวลาที่ถือกล้องเดินถ่ายแล้วบรรยายจากด้านหลัง
ความยืดหยุ่นและการปรับเลือกทิศทางการบันทึกเสียง เป็นอีกจุดเด่นที่น่าสนใจ ใครที่จะเอาไว้ถ่าย VLOG ก็น่าจะถูกใจกับฟีเจอร์นี้แน่นอน
ฟีเจอร์กล้อง และการแต่งภาพ ที่น่าสนใจ
ถ่ายโหมดภาพความละเอียดสูงแบบ High Resolution ได้ ที่เลือกเปิดใช้ได้ทั้งการถ่ายด้วยกล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล และกล้องหลัง 64 ล้านพิกเซล
ถ่าย Portrait ปรับโบเก้ นอกจากจะเลือกปรับจำลองค่ารูรับแสงเพื่อละลายฉากหลักงแล้ว เวลาที่ถ่ายตอนกลางคืน ยังเลือกรูปทรงของโบเก้ได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นวงกลม, ดาว, รูปหัวใจ ฯลฯ สร้างสีสันภาพถ่ายบุคคลตอนกลางคืนให้ดูสวยงามแปลกตา
Dual view video การถ่ายวิดีโอแบบ 2 กล้องพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง เลือกได้ว่าจะถ่ายแบบแบ่งครึ่งหน้าจอ หรือจะซ้อนกรอบเป็น Pictue in Picture ก็ได้ เหมาะเอาไว้ถ่ายคลิปแบบ พูดคุยสนทนา หรือถ่ายวิดีโอเดินเก็บบรรยากาศ ให้เห็นทั้งตัวเราและทิวทัศน์ ช่วยให้ได้คลิปที่แตกต่างไม่เหมือนใคร
AI Image Matting ฟังก์ชั่นการปรับแต่งภาพที่ชาญฉลาดมากๆ ด้วยการแก้ไขภาพโดย AI จะสแกนทั้งภาพ แล้วจำแนกวัตถุต่างๆ ในภาพเป็นชิ้นๆ ออกจากฉากหลัง เพื่อเลือกปรับแก้ได้ โดยมีลูกเล่นเยอะมากอย่างเช่น
- ปรับฟิลเตอร์ เปลี่ยนสี เราอยากปรับฟิลเตอร์สีแยกกันระหว่างนางแบบกับฉากหลังก็ได้
- เปลี่ยนฉากหลัง จะตัดรูปนางแบบออกจากพื้นหลัง และเปลี่ยนพื้นเป็นสี, วอลเปเปอร์ หรือฉากต่างๆ
- Portrait ครอปภาพให้กลายเป็นภาพบุคคล แล้วเปลี่ยนสีฉากหลังให้
- Delete passerby เลือกลบคนที่เดินอยู่ในฉากหลังที่ไม่ต้องการ ดูแล้วเกะกะ ก็ลบทิ้งได้เลย
- Blur ปรับเบลอฉากพื้นหลัง
- Adjust ปรับแต่งสีแบบละเอียด
โหมดนี้ถือว่าบรรเจิดมากๆ เครื่องมือต่างๆ ทำงานอย่างฉลาด และช่วยแต่งภาพได้พอๆ กับแอปแต่งภาพเสียงเงินแพงๆ ได้เลย แนะนำว่าให้ลองเล่นกันดู
Memory Recaller ฟีเจอร์แก้ไขภาพที่ให้เราสามารถขุดเอารูปเก่าๆ ที่ถ่ายเอาไว้ความคมชัดต่ำ มาปรับแต่งเพิ่มรายละเอียดให้มีสีสันและรายละเอียดที่ดีกว่าเดิม
ประสิทธิภาพการทำงาน
สเปคภายในของ Vivo V20 Pro 5G นั้น ใช้ชิปเซ็ตหน่วยประมวลผลเป็น Qualcomm Snapdragon 765G แบบ Octa-core ผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับ 7nm และแน่นอนว่า รุ่นนี้รองรับ 5G ทั้งแบบ SA และ NSA ใช้งานกับโอเปอเรเตอร์ในไทยที่เปิดให้บริการ 5G กันแล้วได้ทันที ส่วน RAM ตัวนี้ให้มา 8GB และหน่วยความจำให้มาขนาด 128GB
เรื่องความร้อน นอกจากตัวชิปเซ็ตที่เป็น 7nm ช่วยเรื่องการใช้พลังงานที่น้อยลง ระบบภายในยังเป็นแบบ Vapor Chamber Liquid Cooling ช่วยถ่ายเทความร้อนด้วยของเหลว D5 ลดความร้อนตัว CPU ได้อย่างรวดเร็ว และช่วยควบคุมอุณหภูมิให้คงที่พร้อมใช้งาน
ระบบปฏิบัติการใช้เป็น ระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 11 บนพื้นฐาน Android 10 ที่ตอนนี้หน้าตาดูเรียบๆ ใช้งานง่าย แต่ก็เปิดให้เราปรับแต่งการใช้งานได้เยอะ ทั้งเรื่องประสิทธิภาพ และหน้าตาให้เหมาะกับแบบที่เราต้องการ
ที่หน้าโฮมทางขวาสุด จะมี Jovi Home หน้ารวมแอปพลิเคชั่น และ Shortcuts การเข้าถึงแอพด่วน และเนื้อหาต่างๆ ที่ออกแบบมาเป็นรูปแบบการ์ดที่เลื่อนเปิดดูได้ง่าย และยังมี Sugestions คำแนะนำแจ้งเตือนภายในชีวิตประจำวัน เช่นเวลาพักผ่อน สภาพอากาศ และมี My Service ปรับแต่งเนื้อหาที่เราสนใจ อย่างการแข่งขันกีฬา, ข้อมูลสุขภาพ, การออกกำลังกาย ข่าวสาร ฯลฯ
มาเรื่องของการใช้พลังงานกันบ้าง แบตเตอรี่ที่ให้มาอยู่ที่ 4000 mAh เป็นขนาดที่กำลังดีที่ใช้งานต่อเนื่องได้นาน ถ้าใช้งานทั่วๆ ไปก็ใช้งานอยู่ได้เต็มวันแบบหายห่วง แต่ถ้ามีเล่นเกมหนักๆ ดูคลิป ถ่ายภาพถ่ายวิดีโอ ก็จะอยู่ได้ประมาณ 5-6 ชั่วโมงโดยประมาณ ซึ่งการใช้งานด้านพลังงานจะมี Vivo Energy Guardian (VEG) ช่วยจัดการด้านพลังงาน ตามพฤติกรรมการใช้ของเรา เพื่อให้แบตเตอรี่เพียงพอการใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น
และรุ่นนี้ Vivo ใส่เทคโนโลยีชาร์จไว FlashCharge 2.0 33W สำหรับเติมแบตเตอรี่ให้เต็มได้ในเวลาที่รวดเร็ว โดยสามารถใช้กับอแดปเตอร์ชาร์จและสายที่ให้มาในกล่องได้เลย
ประสบการณ์เล่นเกม+ความบันเทิง
สำหรับ Qualcomm Snapdragon 765G ถือเป็นชิปเซ็ตระดับกลาง ที่ปรับแต่งมาเพื่อรองรับการเล่นเกมที่ดียิ่งขึ้น โดยในระบบของ Funtouch OS 11 ก็มีฟีเจอร์สำหรับสนับสนุกการเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็น
- Multi-Turbo ที่ได้รับการพัฒนาอัปเดตด้วย ART++ Turbo ช่วยเร่งการเปิดใช้งาน และเปิดสลับแอป โดยช่วยลดความล่าช้าลงได้ถึง 40%
- Game Turbo มีฟีเจอร์ใหม่ Game Highway ช่องทางด่วนสำหรับการเล่นเกม ช่วยจัดลำดับความสำคัญของ CPU และหน่วยความจำ ช่วยลดปัญหาเฟรมเรตตกได้ถึง 78.05%
- Ultra Game Mode ที่ช่วยปิดการแจ้งเตือนข้อความจากแอปต่างๆ เพื่อไม่ขัดจังหวะการเล่นเกม ปรับตั้งค่าความสว่างหน้าจอ และยังช่วยเรื่องการปรับแต่งประสิทธิภาพ, อุณหภูมิของ CPU ให้เหมาะกับการเล่นเกมที่ดีที่สุด
การเล่นเกมจึงถือว่าหายห่วงตามมาตรฐาน Vivo ถึงเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางแต่ก็ให้ประสบการณ์การเล่นเกมที่ดีเต็มอารมณ์ได้อยู่
สำหรับสายบันเทิง หน้าจอนั้นรองรับ HDR10+ ให้คุณดูคลิป YouTube สีสวยคมชัด Netflix ภาพแบบ HDR สดใส พร้อมทั้งตัวระบบเสียงก็รองรับ Hi-Res Audio ด้วย ตัวเชื่อมต่อไร้สายที่เป็น Blutooth 5.0 รองรับกับหูฟังไร้สายรุ่นใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี
สรุป รีวิว Vivo V20 Pro 5G
สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจมากที่สุดก็คือ เรื่องของกล้อง ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง การใส่ฟีเจอร์ด้านการจับโฟกัสที่ดีขึ้นเหมือนกับในกล้องดิจิตอล ทำให้การถ่ายภาพและถ่ายวิดีโอมีความคมชัดมากยิ่งขึ้น
กล้องหน้าที่เป็น Autofocus แบบติดตามดวงตา การถ่ายเซลฟี่ก็จะไม่มีผิดพลาดเรื่องหลุดโฟกัส หน้าเบลอ หรือถ้าจะถ่ายวิดีโอ VLOG ตัวระบบโฟกัสก็ช่วยได้เยอะ แถมเรื่องไมค์บันทึกเสียงก็อยู่ในระดับที่ดีเช่นเดียวกัน
ดีไซน์นี้บอกเลยว่าค่อนข้างลงตัว ดูมินิมอลลงแต่เรียบหรูดูแพงแบบกลมกล่อม โดยเฉพาะฝาหลัง ตำแหน่งการจัดวางดูเข้าท่าทาง ตัวกล้องหน้าบางคนอาจจะรู้สึกว่า การใช้เว้นกล้องคู่แบบ Notch แทนที่จะเป็นแบบ Punch-hole ในหลายๆ รุ่นที่ปีนี้นิยมใช้ กัน ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่ารำคาญอะไรแต่อย่างใด เมื่อใช้งานจริง กลับชอบด้วยตรงที่ไว้ตรงกลาง เพราะเวลาที่ถือแนวนอนเล่นเกมแล้วเปิดกล้อง นิ้วเราก็ไม่บัง อีกทั้งเรื่องของความบาง น้ำหนักที่เบามากๆ
ความน่าสนใจอีกอย่างของรุ่นนี้ ก็คือ “นี่เป็นสมาร์ทโฟนรองรับ 5G รุ่นที่ราคาคุ้มสุดของ Vivo” กับราคาเปิดตัว 14,999 บาท แล้วใช้ 5G ในไทยได้เลยไม่ต้องรออัปเดท แถมราคานี้ เวลาที่ Pre-order โปรโมชันกับโอเปอเรเตอร์ ยังได้ส่วนลดที่ถูกลงไปอีก เริ่มต้นเพียงแค่ 4,989 บาทเท่านั้น ถือว่าเป็นราคาที่ให้คนไทย ได้ใช้งาน 5G บนสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่อง ในราคาที่คุ้มที่สุดแล้ว