Visa เปิดตัวเทคโนโลยี Tap to Phone หรือ แตะเพื่อจ่าย เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อยสามารถเข้าสู่เศรษฐกิจแบบดิจิตอลได้ในช่วงที่ผู้บริโภคและหลายธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้หันมาใช้บริการการชำระเงินรูปแบบดิจิตอลหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะช่วยให้ผู้ค้าสามารถรับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าได้โดยตรงผ่านสมาร์ทโฟน
ผลสำรวจฉบับล่าสุดของวีซ่า พบว่ามากกว่าครึ่งของผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก (55 เปอร์เซนต์) สนใจจะใช้เทคโนโลยีการชำระอย่าง Tap to Phone ถึงแม้ว่าบริการดังกล่าวในขณะนี้จะยังไม่ได้มีให้ใช้อย่างแพร่หลายในภูมิภาคนี้ก็ตาม โดยกลุ่มผู้บริโภคที่มีความสนใจใช้บริการมากที่สุด คือ ประเทศมาเลเซีย (64 เปอร์เซ็นต์) ตามด้วยไต้หวัน (62 เปอร์เซ็นต์) ฮ่องกง (62 เปอร์เซ็นต์) และอินเดีย (55 เปอร์เซ็นต์) การศึกษาฉบับนี้สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อโซลูชั่นใหม่อย่าง Tap to Phone เริ่มมีการใช้งานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผู้บริโภคจะหันมาใช้การชำระเงินรูปแบบใหม่นี้เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการชำระเงินในรูปแบบคอนแทคเลสอยู่แล้ว
คริส คลาร์ก ประธานบริหารของวีซ่า ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนำหน้าภูมิภาคอื่นในเรื่องการชำระเงินแบบคอนแทคเลส ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 44 เปอร์เซ็นต์ ของการทำธุรกรรม ณ ร้านค้าของวีซ่าในภูมิภาคนี้ และมีสัดส่วนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของตลาดหลักๆ ของวีซ่า”
“ประสบการณ์ในการใช้ Tap to Phone ของผู้บริโภคมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์ในเรื่องของความปลอดภัยอีกด้วย โดยแทนที่จะแตะบัตร สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่เครื่องรับชำระเงินของร้านค้า ผู้บริโภคจะสามารถแตะเพื่อจ่ายที่สมาร์ทโฟนของผู้ค้าเพื่อชำระเงินได้เลย สำหรับผู้ค้าเองด้วยวิธีการนี้จะช่วยให้พวกเขารับการชำระเงินรูปแบบดิจิตอลได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องรับชำระเงินแยกต่างหาก สำหรับธุรกิจขนาดย่อยและขนาดย่อม โซลูชั่น Tap to Phone ถือเป็นบริการรับชำระเงินที่ย่อมเยากว่าในการรับบัตรวีซ่า และได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการค้าในรูปแบบดิจิตอล”, คริส กล่าวเสริม
ง่ายดาย สะดวก และไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด ช่วยดึงดูดลูกค้าได้
นอกจากนี้ การชำระเงินแบบ Tap to Phone ยังช่วยในการจัดการระบบรับชำระเงินหน้าร้านง่ายดายยิ่งขึ้น และยังเอื้อประโยชน์ให้กับผู้บริโภคอีกด้วย มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (55 เปอร์เซนต์) ระบุว่าความง่ายดายในการใช้งานถูกจัดให้เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดในการผลักดันให้พวกเขาทดลองใช้บริการ ตามมาด้วยการประหยัดเวลา (51 เปอร์เซ็นต์) และการที่ไม่ต้องยุ่งยากพกเงินสด (50 เปอร์เซ็นต์)
43 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคจัดให้เรื่องความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขายอมรับการชำระเงินแบบ Tap to Phone อย่างไรก็ตาม วีซ่าเชื่อว่าทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมการชำระเงินยังต้องร่วมกันให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง โดยประเด็นเรื่องการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลด้านการเงินเป็นรื่องที่ผู้บริโภคให้ความกังวลมากที่สุดเมื่อใช้การชำระเงินแบบ Tap to Phone ทั้งนี้โซลูชั่น Tap to Phone ได้มีการวางระบบรักษาความปลอดภัยไว้หลายชั้นทั้งในฝั่งของผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานขั้นสูงสุดด้านความปลอดภัยของวีซ่า แต่ละบริการต้องผ่านกระบวนการรับรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมถึงการประเมินด้านความปลอดภัยโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการรับรองระบบบริหารคุณภาพห้องปฏิบัติการ ไม่เพียงเท่านั้นบริการรับชำระเงินเหล่านี้ยังได้รับการสนับสนุนโดยมาตรฐานทางอุตสาหกรรมที่ได้รับการพัฒนาและออกหนังสือรับรองโดยคณะกรรมการมาตรฐานความปลอดภัยสารสนเทศ (PCI)
ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร และฟู้ดคอร์ท เป็นกลุ่มธุรกิจที่ผู้บริโภคสนใจชำระเงินผ่านเทคโนโลยี แตะเพื่อจ่าย – Visa
การศึกษาของวีซ่ายังมองไปที่กลุ่มธุรกิจร้านค้าที่ผู้บริโภคมีความสนใจชำระเงินผ่านเทคโนโลยี Tap to Phone โดยร้านสะดวกซื้อได้รับเลือกถึง 59 เปอร์เซ็นต์ของผู้ร่วมทำการสำรวจทั้งหมด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความต้องการด้านธุรกรรมที่มีความรวดเร็วและง่ายดาย นอกจากนี้มากกว่าครึ่ง (56 เปอร์เซ็นต์) กล่าวว่า พวกเขาอยากที่จะชำระเงินโดยไม่ต้องลุกออกจากโต๊ะอาหารโดยที่ไม่ต้องยื่นบัตรให้บริการ ธุรกิจฟู้ดคอร์ทและสตรีทฟู้ดถูกจัดเป็นอันดับที่สาม (52 เปอร์เซ็นต์) ที่ผู้บริโภคสนใจในโซลูชั่นนี้
“ลูกค้าที่ใช้บริการที่ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร และร้านค้าที่ให้บริการแบบเร่งด่วนอย่างฟู้ดคอร์ทนั้นไม่ต้องการเสียเวลาไปกับการทำธุรกรรมที่มีหลายขั้นตอน และสำหรับผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้ ความสะดวก และรวดเร็วในการให้บริการแก่ลูกค้าถือเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด โซลูชั่น Tap to Phone ถือเป็นทางเลือกใหม่ในการชำระเงินสำหรับธุรกิจเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขายังไม่เคยใช้การชำระเงินในรูปแบบดิจิตอลมาก่อน และเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและสร้างโอกาสทางธุรกิจ วีซ่าได้ร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อนำโซลูชั่นนี้มาให้บริการมากขึ้นในเอเชียแปซิฟิก”, คริส กล่าวปิดท้าย
ในปัจจุบัน วีซ่าได้มอบใบอนุญาตแก่ผู้ให้บริการเทคโนโลยีเก้าราย และยังได้ทำงานร่วมกับธนาคาร และ ฟินเทคต่างๆ ในการนำเทคโนโลยีนี้เข้าสู่ตลาด และล่าสุด Visa และพันธมิตรได้เปิดตัวโซลูชั่น Tap to Phone แล้วที่มาเลเซีย และอินเดีย โดยจะทะยอยเปิดตัวในตลาดอื่นๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้
การศึกษาเกี่ยวกับโซลูชั่น Tap to Phone แตะเพื่อจ่าย ของ Visa เอเชียแปซิฟิก ดำเนินการโดย YouGov ระหว่างวันที่ 16-20 กรกฎาคม 2563 ในกลุ่มประชากรจำนวน 6,832 คน อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ในออสเตรเลีย ฮ่องกง อินเดีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และไต้หวัน