Amazfit เปิดตัวสมาร์ทวอทช์สองรุ่นใหม่ล่าสุดจากกลุ่มอุปกรณ์สวมใส่สายแฟชั่น โดย Amazfit GTR 2 ที่ผสานดีไซน์นาฬิกาทั่วไปกับฟีเจอร์ดูแลสุขภาพครบวงจร จะเปิดตัวในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาในวันที่ 30 ตุลาคม ส่วนสมาร์ทวอทช์ดีไซน์สุดล้ำ Amazfit GTS 2 จะเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาวันที่ 1 พฤศจิกายน ต่อด้วยสหราชอาณาจักรในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้
ดีไซน์สวยหรูพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ
Amazfit GTR2 มาพร้อมลุคคลาสสิก โดยมีตัวเรือนให้เลือกทั้งแบบสเตนเลสสตีลและอลูมินัมอัลลอยสีดำ หน้าปัดเป็นจอ AMOLED ทรงกลมขนาด 1.39 นิ้ว ใช้กระจกโค้ง 3D ที่ใสและอ่านหน้าจอได้ชัดเจน ส่วน Amazfit GTS 2 มีรูปทรงเพรียวบาง มาพร้อมจอ AMOLED ทรงสี่เหลี่ยมขนาด 1.65 นิ้ว และมีตัวเรือนอลูมินัมอัลลอยให้เลือกหลายสี ได้แก่ Midnight Black, Desert Gold และ Urban Grey พร้อมสายที่เข้ากัน
จอของสมาร์ทวอทช์ทั้งสองรุ่นทำจากกระจก 3D Corning Gorilla Glass เคลือบกันรอยนิ้วมือและเคลือบฟิล์ม optical Diamond-like Carbon (oDLC) ทำให้จอแข็งแรง ต้านทานรอยขีดข่วนได้มากขึ้น และไม่สกปรกง่าย นอกจากนี้ จอที่หมุนได้รอบยังช่วยให้ใช้งานได้สะดวกสบายทั้งสำหรับคนถนัดซ้ายและถนัดขวา
ฟีเจอร์ดูแลสุขภาพรอบด้าน
Amazfit GTR2 และ Amazfit GTS 2 มาพร้อมเซ็นเซอร์ BioTracker 2 PPG ที่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้อย่างแม่นยำต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก โซนอัตราการเต้นของหัวใจ และแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ ซึ่งช่วยให้ผู้สวมใส่เข้าใจสุขภาพหัวใจของตนเองมากขึ้น
นอกจากนี้ BioTracker 2 PPG ยังรองรับระบบ OxygenBeats ซึ่งสามารถวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดได้ เมื่อผู้สวมใส่ทำงานที่ต้องใช้สมองหรือทำกิจกรรมทางกายนาน ๆ เช่น วิ่งมาราธอนหรือเล่นกีฬาอย่างหักโหมแล้วรู้สึกไม่ค่อยดี ก็สามารถวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดเพื่อทำความเข้าใจสภาพร่างกายของตนเองอย่างรวดเร็ว และดูแลสุขภาพด้วยมือของตัวเอง
ระบบตรวจสอบคุณภาพการนอน ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถติดตามการนอนและเข้าใจรูปแบบการนอนของตนเองได้อย่างง่ายดาย นำไปสู่การยกระดับคุณภาพการนอนในที่สุด เมื่อเชื่อมต่อกับแอป ผู้สวมใส่สามารถวัดระยะเวลานอนทั้งหมด ทั้งช่วงหลับไม่สนิท ช่วงหลับลึก และช่วงหลับที่มีการกลอกตาอย่างรวดเร็ว (REM) หรือแม้แต่ช่วงนอนกลางวัน
สมาร์ทวอทช์ทั้งสองรุ่นมีระบบประเมินสุขภาพ PAI สุดล้ำ ที่แปลงข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจ กิจกรรมทางกาย และข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ เป็นคะแนน PAI ช่วยให้ผู้สวมใส่เข้าใจสุขภาวะทางกายของตนเองได้ทันทีสมาร์ทวอทช์ทั้งสองรุ่นยังรองรับระบบตรวจสอบความเครียด ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถปรับระดับความเครียดให้สมดุลการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทำให้มีสุขภาพดี Amazfit GTR2 และ Amazfit GTS2 จึงมาพร้อมโหมดกีฬายอดนิยม 12 โหมด ที่ใช้งานง่ายทุกครั้งที่เริ่มออกกำลังกาย เช่น โหมดบันทึกระยะทาง ความเร็ว การเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจ การเผาผลาญแคลอรี่ และข้อมูลการออกกำลังกายอื่น ๆ
สมาร์ทวอทช์ทั้งสองรุ่นเก็บเพลงได้ราว 3GB ผู้สวมใส่จึงสามารถฟังเพลงได้โดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือ นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์ Haptic Vibration ที่สามารถตั้งค่า Haptic Feedback เมื่อรับสายโทรเข้าหรือมีการแจ้งเตือนเข้ามาเมื่อถอดสมาร์ทวอทช์ ฟังก์ชันตรวจจับการสวมใส่จะล็อกสมาร์ทวอทช์โดยอัตโนมัติ เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้สวมใส่ ทั้งยังสามารถตั้งรหัสผ่านเพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัยได้ด้วย มาร์ทวอทช์ทั้งสองรุ่นมีไมโครโฟนและลำโพงในตัว ผู้สวมใส่สามารถโทรออกได้ผ่านบลูทูธ
สมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ในซีรีส์ GT ช่วยให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสนุกสนานขึ้น
ระบบสั่งการด้วยเสียงทำให้สมาร์ทวอทช์ทั้งสองรุ่นฉลาดล้ำ โดย Amazon Alexa ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถตั้งคำถาม ค้นหาข้อมูล แปลภาษา ลิสต์รายการของที่ต้องซื้อ ตั้งเวลาปลุก จับเวลา ตั้งค่าเตือนความจำ ตรวจสอบสภาพอากาศ สั่งการอุปกรณ์สมาร์ทโฮม ฯลฯ เมื่อคุณพูด Amazfit GTR2 และ Amazfit GTS2 และ Alexa จะตอบสนองคำสั่งของคุณด้วยคำตอบเป็นตัวหนังสือบนหน้าจอ โดยตัวอย่างคำสั่งเสียงมีดังนี้
- “Alexa จับเวลา”
- “Alexa เพิ่มไข่ในรายการของที่ต้องซื้อ”
- “Alexa เปิดไฟห้องนั่งเล่น”
- “Alexa วันนี้อากาศเป็นยังไง”
Alexa อาศัยระบบคลาวด์ จึงฉลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอัปเกรดความสามารถใหม่ได้อัตโนมัติ ระบบสั่งการด้วยเสียงออฟไลน์ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถสั่งการสมาร์ทวอทช์แม้ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงการเปิดโหมดกีฬา วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และอีกมากมายสมาร์ทวอทช์ทั้งสองรุ่นมีแบตเตอรี่อึดทนนาน จึงสามารถทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์คู่ใจของผู้สวมใส่ได้ทุกวันตลอดทั้งสัปดาห์
ราคาและการวางจำหน่าย
ในสหรัฐอเมริกา Amazfit GTR2 จะวางจำหน่ายในวันที่ 30 ตุลาคม ในราคา 179 ดอลลาร์ ส่วน Amazfit GTS2 จะวางจำหน่ายในวันที่ 1 พฤศจิกายน ในราคา 179 ดอลลาร์