ราคา ไอโฟน 12 และ ไอโฟน12 mini เครื่องศูนย์ไทย ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว เริ่มต้นที่ 25,900 บาท พร้อมวางจำหน่าย ขาย ในไทย วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563
เนื่องด้วยปีนี้ ทางแอปเปิลเปิดตัว ไอโฟน ล่าช้ากว่าปกติ ทำให้วันเวลาในการจำหน่ายในไทยโดนเลื่อนมาด้วย แต่ก็ยังเป็นข่าวดีอยู่หน่อยว่า ไอโฟน 12 ทั้ง 4 รุ่นที่เปิดตัวในปีนี้ จะเข้ามาจำหน่ายพร้อมกันทีเดียวเลย ไม่ได้แยกเป็น 2 ช่วงเหมือนกับหลายประเทศที่วางจำหน่ายไปก่อนหน้านี้
ปีนี้ นอกจาก iPhone12 ที่จะเป็นรุ่นมาตรฐานเริ่มต้น จะมีเพิ่มรุ่นใหม่อย่าง iPhone12 mini ที่จะมีขนาดหน้าจอที่เล็กลงจนสามารถพกใส่กระเป๋าเสื้อได้ พร้อมทั้งยังมีจุดเด่นในเรื่องของดีไซน์ที่เปลี่ยนจากรุ่นก่อน และสีสันของเครื่องที่มีหลากหลายให้เลือก
ราคา ไอโฟน 12 และ ไอโฟน12 mini ในไทย
ทางหน้าเว็บไซต์ของ Apple ได้มีการประกาศ ราคา จำหน่ายของ ไอโฟน 12 เป็นที่เรียบร้อย โดยจะเริ่มขายอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน และจะเริ่มมีสั่งจองล่วงหน้าผ่านโอเปอเรเตอร์ AIS Truemove H Dtac รวมถึงตัวแทนอย่างเป็นทางการ ในวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายนนี้
iPhone12
- รุ่นความจุ 64GB ราคา 29,900 บาท
- รุ่นความจุ 128GB ราคา 31,900 บาท
- รุ่นความจุ 256GB ราคา 35,900 บาท
iPhone12 mini
- รุ่นความจุ 64GB ราคา 25,900 บาท
- รุ่นความจุ 128GB ราคา 27,900 บาท
- รุ่นความจุ 256GB ราคา 31,900 บาท
ไอโฟน 12 และ ไอโฟน 12 mini มาพร้อมกับการออกแบบใหม่ มีหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว และ 5.4 นิ้วตามลำดับ ซึ่ง iPhone 12 mini ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่มีขนาดเล็กที่สุด บางที่สุด และเบาที่สุดในโลก โดยภายในนั้นบรรจุเทคโนโลยีของ iPhone 12 เอาไว้ทั้งหมดในดีไซน์และขนาดที่กะทัดรัด สะดวกต่อการพกพา ด้วยการออกแบบที่ทำให้มีพื้นที่หน้าจอเพิ่มมากขึ้นแบบขอบจรดขอบ ตัวเครื่องทำมาจากวัสดุที่ทนทาน เป็นอลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสหกรรมอวกาศ
หน้าจอยังมีการป้องกันด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า Ceramic Shield มีความแข็งแกร่งและทนทานเหนือกระจกทั่วไป เพราะผสมผลึกนาโนเซรามิกลงไปในแมทริกซ์ของกระจก โดยใช้ขั้นตอนการตกผลึกที่อุณหภูมิสูง ทำให้ทนทานต่อการตกกระแทกกับพื้นได้ดีขึ้นถึง 4 เท่า
หน้าจอแบบ Super Retina XDR ที่เป็นหน้าจอทั้งหมดแบบเต็มๆ โดยขยายออกไปจนสุดขอบ มาพร้อมอัตราส่วนคอนทราสต์ที่ 2,000,000 : 1 เพื่อแสดงสีดำที่เป็นสีดำสนิท และเพื่อประสบการณ์การชมคอนเทนต์แบบ HDR ที่สมจริง หน้าจอมีความสว่างสูงสุดสูงกว่า iPhone 11 เกือบ 2 เท่า มาพร้อมการปกป้องด้วยมาตรฐานระดับ IP68 สามารถทนน้ำที่ระดับความลึกไม่เกิน 6 เมตรในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที และสามารถรับมือกับน้ำที่อาจหกใส่มือถือในชีวิตประจำวันได้
ภายในมาพร้อมกับชิปที่ล้ำหน้าและประสิทธิภาพสูงอย่าง A14 Bionic ที่ถือเป็นชิปตัวแรกในวงการสมาร์ทโฟนที่สร้างขึ้นด้วยกระบวนการ 5 นาโนเมตร มาพร้อม CPU และ GPU ที่เร็วที่สุด ด้วยความเร็วที่เร็วเหนือชิปที่เร็วที่สุดของคู่แข่งถึง 50% เรียกได้ว่าทั้งเร็วและประหยัดพลังงานยิ่งกว่าที่เคย
มอบประสบการณ์การเล่นเกมระดับคอนโซล ประมวลผลภาพถ่ายด้วย CPU ที่ทรงพลัง และยังคงใช้แบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้น โดยชิป A14 Bionic ยังมี Neural Engine แบบ 16 คอร์ที่เข้ามาช่วยยกระดับการเรียนรู้ของระบบ Machine Learning ด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น 80% สามารถประมวลผลได้ถึง 11 ล้านล้านรายการต่อวินาที
ทั้ง 2 รุ่นนี้ กล้องหลังเป็นแบบคู่ เลนส์ตัวแรกเป็นเลนส์ Wide ที่มาพร้อมรูรับแสง f/1.6 รับแสงได้มากขึ้น 27% ที่สำคัญช่วยถ่ายรูปและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้น ด้วยโหมดกลางคืน และ Deep Fusion ที่ทำงานได้เร็วขึ้น โดยภาพที่ถ่ายออกมาจะสัมผัสได้ว่าสว่างยิ่งขึ้นและคอนทราสต์ที่ดีขึ้น เมื่อใช้โหมดกลางคืนกับการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย อีกทั้งยังเก็บรายละเอียดได้มากขึ้นพร้อมนอยซ์ที่ลดลงด้วย Deep Fusion ส่วนเลนส์อีกตัวเป็นเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.4 เก็บภาพได้มุมกว้าง 120 องศา
เรื่องการถ่ายวิดีโอนั้น iPhone 12 มาพร้อมกับกล้องตัวแรกที่สามารถถ่ายวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision และผู้ใช้งานสามารถถ่าย ตัดต่อ และแชร์วิดีโอคุณภาพระดับโรงหนังบน iPhone ได้ง่ายๆ
การชาร์จแบบไร้สายพัฒนามาพร้อมกับนวัตกรรม MagSafe ที่ดีขึ้น ประสิทธิภาพการชาร์จที่มากขึ้น พร้อมระบบ ecosystem ของอุปกรณ์เสริมที่ยึดติดเข้ากับ iPhone ได้ง่ายๆ โดยที่ชาร์จ MagSafe จะจ่ายไฟสูงสุดที่ 15 วัตต์อย่างมีประสิทธิภาพ
และที่สำคัญกับความใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยจะออกบรรจุภัณฑ์ของ iPhone 12 ที่มีขนาดเล็กลง และเบาลง ทำให้ประหยัดพื้นที่มากขึ้นและช่วยเพิ่มจำนวนกล่องในการจัดส่งได้มากขึ้นถึง 70% ซึ่งกล่องที่เล็กลงนี้ จะมีตัวเครื่องไอโฟน และ สายชาร์จเร็วแบบ USB-C to Lightning มาให้ โดยไม่มีแถมตัวอะแดปเตอร์ชาร์จ และหูฟัง Earpods ให้อีกต่อไป
iPhone 12 และ iPhone 12 mini มาในดีไซน์อะลูมิเนียม ที่มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ น้ำเงิน เขียว ดำ ขาว และ แดง PRODUCT RED