รีวิว OPPO Reno5 Series 5G สมาร์ทโฟนที่โดดเด่นกับฟีเจอร์วิดีโอ Portrait ที่มีลูกเล่นแพรวพราว ให้การถ่ายวิดีโอบนสมาร์ทโฟนสนุกยิ่งขึ้น ตัวเครื่องสวยด้วยการทำสีสันอย่างพิถีพิถัน ขนาดเครื่องที่ถือจับถันมือ บางและเบา พร้อมทั้งประสิทธิภาพที่เต็มเปี่ยม ตอบโจทย์ทุกอย่างที่ต้องการ เรียกได้ว่า เป็นสมาร์ทโฟน 5G ในระดับ ราคา ไม่เกิน 15,000 บาท ที่ครบเครื่องและน่าสนใจมากๆ
OPPO Reno5 Series 5G “Picture Life Together”
พูดถึงสมาร์ทโฟนที่นำเทรนด์เรื่องของแฟชั่น และลูกเล่นกล้องแล้ว OPPO Reno Series ถือเป็นรุ่นที่ทำออกมาได้น่าสนใจทุกรุ่น พัฒนาให้ดีขึ้นทั้งเรื่องดีไซน์ สีสัน โดยเฉพาะเรื่องของกล้องนั้น ลูกเล่นต่างๆ มีเพิ่มขึ้นมาทำให้การใช้งานถ่ายภาพหรือถ่ายวิดีโอด้วยสมาร์ทโฟน มีความสนุกและลูกเล่นให้เราเอาไปสร้างสรรค์คอนเทนต์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย
รีวิว OPPO Reno5 Series 5G ครั้งนี้ ผมขอเล่าไปพร้อมๆ กัน 2 รุ่นเลยนะ ก็คือ OPPO Reno5 กับ OPPO Reno5 5G โดยหลักๆ ทั้ง 2 รุ่นนี้มีความใกล้เคียงกัน อย่างดีไซน์ของตัวเครื่องนั้น เรียกว่าแทบจะเหมือนกันหมดทุกอย่าง จะมีแตกต่างกันบ้างเกี่ยวกับสเปคภายใน ประสิทธิภาพ การชาร์จ ฟีเจอร์กล้อง และการรองรับเครือข่าย ซึ่งเดี๋ยวจะสรุปตอนท้ายของ รีวิว นี้อีกที
ก่อนหน้านี้ ผมมี พรีวิว OPPO Reno5 กับ OPPO Reno5 5G ไว้เรียบร้อยแล้ว แกะกล่องดูกันว่ามีอะไรบ้าง พร้อมข้อมูลสเปคเบื้องต้น, ดีไซน์ และฟีเจอร์พื้นฐานต่างๆ ไปอ่านกันได้เลย ในรีวิวนี้ เราจะมาเจาะลึกกันในเรื่องฟีเจอร์เด่นๆ, สิ่งที่น่าสนใจของรุ่นนี้ และประสบการณ์การใช้งานหลังจากที่ได้ทดลองใช้มา
กล้อง : การถ่ายวิดีโอ และ ถ่ายภาพ
OPPO Reno5 Series 5G จุดเด่นที่ภูมิใจนำเสนอ ตามสโลแกนของรุ่นนี้ คือ “Picture Life Together” เป็นการเอาประสิทธิภาพของกล้องสมาร์ทโฟน มารังสรรค์เป็นฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างน่าสนใจ
สเปคของกล้องใน 2 รุ่นนี้ ตัวกล้องหลังนั้นจะเหมือนกันทุกประการ จะเป็นแบบ 4 เลนส์แบบ Quad Camera ประกอบด้วย
- กล้องหลัก 64MP f/1.7
- กล้อง Ultra Wide 8MP มุมกว้าง 119 องศา f/2.2
- กล้อง Macro 2MP f/2.4
- กล้อง Mono 2MP f/2.4
ส่วนกล้องหน้านั้น จะมีแตกต่างกัน OPPO Reno5 กล้องหน้าความละเอียด 44 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.4 ส่วน OPPO Reno5 5G กล้องหน้าจะเป็น 32 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.4 ซึ่งเป็นกล้องหน้าที่มีความละเอียดสูงมากทั้งคู่ ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอเซลฟี่ได้สวยและคมชัดดี
พัฒนาการอย่างก้าวกระโดด กับการถ่ายวิดีโอ ลูกเล่นแพรวพราว
การถ่ายวิดีโอใน OPPO Reno5 Series 5G มีลูกเล่นที่น่าประทับใจหลายอย่างเพิ่มขึ้นมาเยอะมาก จากตัวฮาร์ดแวร์สเปคตัวกล้องนั้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ตั้งแต่กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล รูรับแสงที่กว้างได้ถึง f/1.7 มีเลนส์มุมกว้าง 119 องศาเพื่อเก็บภาพได้กว้างมากขึ้น ส่วนกล้องหน้าก็ความละเอียดค่อนข้างสูง
แต่สิ่งที่ทำให้การถ่ายวิดีโอของสมาร์ทโฟน 2 รุ่นนี้น่าสนใจ ก็คือซอฟต์แวร์ที่ทาง OPPO พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นลูกเล่นในการถ่ายที่แปลกแตกต่างไปจากกล้องทั่วๆ ไป
Dual-View Video
เป็นการใช้ประโยชน์ของกล้องหน้าและกล้องหลังของสมาร์ทโฟน เอามาใช้ถ่ายวิดีโอบันทึกได้พร้อมกันในการถ่ายเพียงครั้งเดียว ซึ่งวิธีนี้กล้องถ่ายรูปทั่วไปไม่สามารถทำได้
วิธีการนำเสนอของการถ่ายวิดีโอกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกัน OPPO มีให้เราเลือกได้ 3 แบบด้วยกันคือ แบบ Split ที่จะแบ่งครึ่งของหน้าจอออกเป็น 2 ส่วน ในเฟรมภาพจะเห็นเป็นแบบแบ่งครึ่งซ้าย-ขวา (กรณีถ่ายเป็นแนวนอน) และแบบครึ่งบน-ล่าง (ถ่ายแบบแนวตั้ง) โดยมุมมองของกล้องหลังเรายังเลือกซูมวิดีโอได้ตั้งแต่ 1x ไปจนถึง 10x
เราสามารถเล่นกันระหว่างกล้องหน้ากับกล้องหลังได้ เพื่อสื่อสารเชื่อมโยงกันระหว่าคนที่อยู่หน้ากล้องทั้ง 2 ด้าน อันนี้ไปคิดไอเดียทำได้เยอะมาก อย่างตัวอย่างที่เราถ่ายมา เราทำให้คนจากเฟรมข้างบนส่งของลงมาให้คนที่อยู่ด้านล่างได้ ก็แปลกตาไปอีกแบบ ซึ่งซีนแบ่งครึ่งจอนี้ยังเอาไว้ถ่ายได้อีกหลายสถานการณ์ด้วยกัน อาทิ
- บันทึกเสียงการเล่นดนตรี หรือร้องเพลง ของเรากับเพื่อน คือไม่ต้องมานั่งเบียดกันอยู่ในเฟรมเดียว แยกกันเป็น 2 ด้าน และตัว OPPO Reno5 Series 5G นั้นสามารถบันทึกเสียงได้แบบรอบทิศทาง
- นั่งสัมภาษณ์หรือพูดคุยกัน ที่คุณจะได้ภาพในเฟรมแบ่งครึ่งจอให้เห็นว่านั่งคุยกันจากคนละด้าน ช่วยสื่อสารให้เหมือนเป็นรายการทอล์คโชว์ย่อมๆ ได้เลย
- ถ่ายคลิป Reaction เวลาดูคลิป, วิดีโอ หรือการแสดงสดต่าง คุณตั้งมือถือหน้าจอคอมเพื่อถ่ายคลิปที่เล่นบนจอ แล้วคุณก็สามารถรีแอคหรือเล่าเรื่องราวระหว่างที่ดูคลิปนั้นได้ด้วยในทันที
- ทำคลิปรีวิวสินค้า คุณหาขาตั้งกล้องมาตั้งตัวมือถือเอาไว้ ฝั่งนึงเป็นตัวคุณที่อธิบายเล่าเรื่องราว ส่วนอีกฝั่งก็ถือสินค้าเพื่อโชว์ให้เห็น ก็ช่วยให้คุณทำคลิปรีวิวโดยที่ไม่ต้องตัดต่อ ถ่ายปุ๊บเสร็จปั๊บได้เลย
นอกจากแบบซีน Split แบ่งครึ่งจอแล้ว โหมด Dual-view Video ยังมีเลือกแบบ Picture in Picture (PIP) โดยจะมีกล้องหลักแสดงภาพใหญ่ และอีกกล้องเป็นภาพจอเล็ก เลือกได้ 2 แบบคือ วงกลม (Round) และแบบ 4 เหลี่ยม (Rectangle) โดยจอเล็กนี้ เราสามารถเลื่อนไปวางตำแหน่งไหนของภาพก็ได้อย่างอิสระ เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
จะเห็นว่า การถ่ายได้ 2 จอพร้อมกันนี้ ทำให้เราออกแบบและคิดหาวิธีการนำเสนอคลิปวิดีโอได้แตกต่างจากที่เคย เราไม่จำเป็นต้องถ่ายคลิปคนเดียว อยากจะถ่ายกับเพื่อนแบบแยก 2 จอก็ทำได้
AI Mixed Portrait
เป็นฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดใน OPPO Reno5 กับฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอได้ไม่เหมือนใคร และเป็นครั้งแรกในโลก ที่สมาร์ทโฟนสามารถถ่ายวิดีโอรูปแบบนี้ได้ หลักการทำงานของฟีเจอร์นี้ก็คือ การถ่ายวิดีโอแบบ Portrait ให้ซ้อนกับวิดีโออื่น ทำให้เกิดคลิปวิดีโอที่เล่าเรื่องราวได้แปลกใหม่
เราจะเลือกโหมดการถ่ายได้ 2 แบบด้วยกันคือ แบบ Blend Mode เป็นการซ้อนวิดีโอ 2 ช็อตนี้เข้าด้วยกัน โดยจะเห็นคลิปที่เป็นฉากหลังสีจางลงประมาณ 50% โดยส่วนที่ซ้อนกับคลิปที่ถ่าย Portrait ก็จะมีลวดลายของคลิปฉากหลังซ้อนเข้ามา
ส่วนอีกแบบจะเป็น Silhouette Mode การซ้อนกันนี้จะเป็นคลิปฉากหลังจะจางๆ ส่วนตัววิดีโอ Portrait บุคคลจะขึ้นเป็นกรอบเหมือนเงา และภาพวิดีโอพื้นหลังจะคมชัดอยู่ในเงานั้น
ด้วย AI ในการถ่ายภาพของ OPPO ที่ฉลาดมากๆ ตั้งแต่การจับภาพ Portrait แบบเอาฉากหลังออกไปได้อย่างคมชัดตัดขอบได้แม่นยำ แล้วเอามาซ้อนกับวิดีโอแล้วผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
วิธีการถ่ายวิดีโอ AI Mixed Portrait เริ่มต้นเราจะต้องทำคลิปวิดีโอพื้นหลังก่อน จะใช้วิธีเปิดกล้องถ่ายสดๆ ตอนนั้น หรือจะเข้าไปเปิดคลังวิดีโอที่เราถ่ายเอาไว้ก่อนแล้วก็ได้ โดยจะเลือกมาใช้ได้ 15 วินาที
เมื่อเลือกเสร็จแล้วก็จะเริ่มให้เราถ่ายคลิป Portrait ซึ่งเลือกถ่ายได้ทั้งกล้องหน้าหรือกล้องหลัง แนะนำว่าถ้าเป็นแบบ Blend เลือกล้องหน้าเพราะจะได้เห็นใบหน้าของเราชัดๆ ส่วน Silhouette Mode เลือกถ่ายด้วยกล้องหลัง เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวของร่างกายได้เต็มทั้งตัว
เมื่อถ่ายบันทึกเสร็จเรียบร้อยก็จะให้เราเห็นผลลัพท์ของการรวมวิดีโอและบันทึกไว้ในเครื่อง ซึ่งการถ่ายอันนี้จะเป็นการถ่ายวิดีโอแบบเงียบ ไม่มีเสียง ให้เอาคลิปนี้ไปใส่เพลงจากแอพอื่น อย่าง Soloop เพื่อตัดต่อหรือใส่เสียงได้
AI Highlight Video
เป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน ที่นำเอา AI มาช่วยคำนวนอัลกอริธึม เพื่อปรับเลือกใช้โหมดปรับสีและแสง ให้เหมาะกับการถ่ายวิดีโอให้อย่างเหมาะสม ให้ทุกช็อตที่คุณถ่ายคลิป ได้ภาพออกมาคมชัด สว่าง และสวยเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยไม่ต้องห่วงหรือกังวลว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใดก็ตาม
เป็นการนำเอา AI มาช่วยประมวลผลจากสถานกาณณ์ต่างๆ นั้นได้แบบอัตโนมัติ อย่างเช่น เวลาคุณถ่ายวิดีโอในตอนกลางคืนที่มืด มีแสงน้อย ตัว AI Highlight Video จะเลือกใช้ Ultra Night Video ให้ เพื่อปรับสภาพแสงให้รอบข้างสว่างชัดมากขึ้น แสงต่างๆ ไม่พร่าหรือจ้ามัว โดยที่ตัวบุคคลจะสว่างชัดด้วยเช่นกัน และถ้าอยู่ในสถานที่มืดสุดๆ AI Highlight Video ก็จะเลือกโหมดเปิดแฟลชบนจอให้ในการถ่ายวิดีโอ Portrait ให้ทันที
หรือในเวลาที่เจอกับสภาวะย้อนแสง ตัว AI Highlight Video จะเลือกใช้ฟีเจอร์ของ Live HDR ขึ้นมาทันที เพื่อเน้นเร่งความสว่างให้กับตัวบุคคลไม่หน้ามืด สีสวยและคมชัด ส่วนฉากหลังก็ปรับแสงและสว่างให้ทั้งซีนมีความสวยลงตัว
ตัว AI Highlight Video ถือว่าเป็นความฉลาดของ AI ที่นำมาช่วยให้ทุกการถ่ายวิดีโอ Portrait มั่นใจได้ว่า จะได้ภาพออกมาสวยชัดใส และใช้ได้หมดทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
AI Color Portrait
ลูกเล่นการถ่ายวิดีโอ Portrait ใน OPPO Reno5 ที่ตัว AI จะทำการประมวลผลแยกตัวแบบออกจากฉากหลัง ให้ตัวบุคคลยังคงมีสีสันที่สวยสดใส ส่วนฉากหลังจะถูกเปลี่ยนเป็นสีขาวดำ เพื่อตัดให้ตัวบุคคลโดดเด่นออกมาจากฉาก ให้อารมณ์การเน้นตัวคนได้สวยเด่นสะดุดตา และการแสดงผลตัวอย่างจะมองเห็นได้แบบ real time
ฟีเจอร์นี้ใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง รวมถึงยังรองรับทั้งการถ่ายวิดีโอและถ่ายภาพนิ่งอีกด้วย
Monochrome Video
อีกลูกเล่นการถ่ายวิดีโอที่เป็นเอกลักษณ์ของทาง OPPO ที่มีมาให้ใน OPPO Reno5 เป็นฟิลเตอร์แบบ realtime สำหรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหลัง ให้แยกเน้นสีเฉพาะสี ได้ 3 แบบคือ สีแดง, สีเขียว หรือ สีน้ำเงิน ทำให้ได้ภาพวิดีโอที่เล่นสีโทนให้เด่นแตกต่างกันไป เหมาะสำหรับเอาไว้ถ่ายเป็น Footage เพื่อสร้างความน่าสนใจของคลิปได้เป็นอย่างดี
SOLOOP Template
แอป SOLOOP ตอนนี้มีฟีเจอร์ Template เพิ่มเข้ามาใน OPPO Reno5 ให้คุณถ่ายคลิปในรูปแบบพิเศษ จากคำสั่งของกล้องได้เลย ซึ่งจะมีเทมเพลตให้เลือกมากมาย อันนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่น TikTok หรืออยากได้คลิปวิดีโอไวรัลเท่ๆ ด้วยการถ่ายง่ายๆ แค่ไม่กี่ช็อตก็ทำได้เลย
ถ่ายภาพดีหายห่วง กล้อง AI ที่ฉลาด ถ่ายได้สวยทุกครั้งที่หยิบขึ้นมา
ไม่ใช่แค่การถ่ายวิดีโอ แต่ OPPO Reno5 Series 5G เรื่องของการถ่ายภาพก็พัฒนาขึ้นมาก โดยการใช้ AI รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า การถ่ายภาพทุกช็อตจะออกมาได้สวยงาม
AI Scene Enhancement
การถ่ายภาพบน OPPO Reno5 Series 5G จะมี AI เข้ามาช่วยปรับแต่งโปรไฟล์ก่อนถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นค่าสมดุลสี, ความอิ่มตัว และความสว่าง โดย AI จะเลือกปรับไปตามซีนที่เราจะถ่ายเวลานั้น
ฟีเจอร์นี้มีความสามารถแยกแยะฉากซีนต่างๆ ได้มากถึง 22 ฉาก ได้แก่ ชายหาด, ท้องฟ้า, แมว, ข้อความ, สุนัข, ดอกไม้ไฟ, อาหาร, สนามหญ้า, ในที่ร่ม, ทารก, วิวทิวทัศน์, ในตอนกลางคืน, หิมะ, แสงไฟสว่างจ้า, พระอาทิตย์ขึ้น-ตก, ใบหน้า, ใบหน้าหลายคน, ย้อนแสง, ดอกไม้, ต้นไม้, สีทึบ และฉากลวดลายที่ซ้ำกัน
เป็นโหมดที่เราแนะนำให้คุณเปิดใช้งานไว้ตลอด เพราะมันจะช่วยให้คุณถ่ายภาพออกมาได้ดีแบบไม่ต้องไปปรับหรือยุ่งอะไรกับภาพนั้นเลย อย่างการถ่ายภาพอาหาร กล้องจะปรับเร่งสีให้สดใส และมีโทนที่อุ่น เพื่อให้ภาพที่ได้ออกมาดูน่ากิน
Ultra-clear 108MP Image
โหมดถ่ายภาพที่เร่งความละเอียดเก็บได้คมชัดได้สูงสุดถึง 108MP เหมาะสำหรับเวลาที่ต้องการถ่ายภาพที่เน้นอยากได้รายละเอียดเชิงลึกในภาพที่คมชัด ที่เราสามารถมาขยายเลือกครอปซูมบางส่วนก็ยังได้ภาพที่ชัดไม่แตกเบลอ เป็นโหมดที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพเน้นความคมชัดมากเป็นพิเศษ ซึ่งจะต้องใช้ในสภาพแสงที่เพียงพอ จึงจะได้ออกมาดีที่สุด
Ultra Night Selfie
กล้องหน้าความละเอียดสูงของ OPPO Reno5 Series 5G มีโหมดสำหรับการถ่ายเซลฟี่ในเวลากลางคืนที่มีแสงน้อย และมีสีสันของดวงไฟ ให้ใบหน้าของเรามีความคมชัด สว่างชัด โดยที่ฉากหลังจะมีการปรับควบคุมแสงให้มีความคมชัด อย่างในภาพตัวอย่างจะเห็นว่าโคมไฟด้านหลังมีความสว่างมาก ภาพด้านหลังก็จะไม่สว่างพร่า มองเห็นรายละเอียดและสีสันได้ชัดเจน ส่วนแบบด้านหน้าก็บิวตี้สวยเป๊ะ
Night Flare Portrait
โหมดถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืน ที่นอกจากจะได้ความสว่างสดใสของภาพแล้ว จะมีการใส่ลูกเล่นที่จะปรับแสงไฟในฉากหลัง ให้เกิดเอฟเฟคโบเก้ เป็นดวงไฟ ที่เหมือนกับการใช้เลนส์กล้องค่ารูรับแสงกว้างๆ ถ่ายด้วยกล้อง DSLR ถ่าย
ดีไซน์ การออกแบบ
เรื่องรูปลักษณ์ ดีไซน์ OPPO Reno5 Series 5G ยังคงเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนที่นำเทรนด์เรื่องแฟชั่น โดยมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 สีคือ
- OPPO Reno5 มี สีเงิน Fantasy Silver และ สีดำ Starry Black
- OPPO Reno5 5G มี สีเงิน Galactic Silver และ สีดำ Starry Black
สำหรับสีเงิน Fantasy Silver และ Galactic Silver จะเป็นการใช้เทคนิคทำสีขั้นสูง ที่ให้พื้นผิวเป็นสีเงิน ที่มองลงไปใกล้ๆ จะเป็นเป็นอนุภาคคริสตัลเล็กๆ นับล้าน ที่ทำให้เกิดเอฟเฟกต์แสงแบบ Daimond Spectrum Process ที่จะมีสีเหลือบเปลี่ยนแปลงไปตามแต่สภาวะแสงและมุมที่แสงตกกระทบ โดยจะมีเฉดสีหลักที่เห็นได้ชัด 5 สีด้วยกันคือ สีเขียว, เหลือง, ฟ้า, ม่วง และส้ม
นอกจากนี้ยังมีเอฟเฟกต์แบบ Reno Glow อันเป็นเอกลักษณ์ของ OPPO ที่ให้ความสวยสว่างแบบเปล่งประกาย ที่มีระยิบระยับวิบวับๆ บนฝาหลัง คือถ้าตัวโทรศัพท์นั้นถูกแสงไฟ มันจะไม่สะท้อนแสงแบบสว่างแยงตา แต่จะดูสว่างแบบมีออร่า ที่ให้ความสวยงามที่ดูดีมากๆ
รวมทั้งยังมีการเคลือบผิวเป็นแบบด้านอีกชั้นที่ฝาหลัง ทำให้ได้สัมผัสในการจับที่ไม่ลื่นมือ รวมถึงยังเกิดรอยนิ้วมือขึ้นบนฝาหลังน้อยลงอีกด้วย
ส่วนเครื่องสีดำ Starry Black การทำสีของฝาหลังนั้นจะเป็นดำที่มีมิติของเหลือบแสงสะท้อน ให้เห็นเป็นเงาแวววับแบบจางๆ ตามทิศทางของแสงที่ส่องหรือมุมที่เรามอง โดยพื้นผิวจะเป็นเคลือบแบบเงา ให้ความรู้สึกที่หรูหรา น่าค้นหา
อีกสิ่งที่ต้องชื่นชมกับ OPPO Reno5 Series 5G ก็คือ การออกแบบเครื่องให้มีความเบาและบางมากๆ ตัวเครื่องที่มีหน้าจอขนาด 6.43 นิ้ว มิติเครื่อง 159.1 x 73.4 มิลลิเมตร แต่ความบางนั้น
- OPPO Reno5 สี Starry Black หนา 7.7 มิลลิเมตร และ สี Fantasy Silver หนา 7.8 มิลลิเมตร
- OPPO Reno5 5G หนา 7.9 มิลลิเมตร
เป็นความบางที่หาไม่ค่อยได้แล้วกับสมาร์ทโฟนยุคนี้ ทำให้เวลาพกพาใส่ในกระเป๋ากางเกง ก็ไม่รู้สึกเกะกะหรือนูนหนาเป็นรอยขึ้นมา ส่วนน้ำหนักนี่ยิ่งดีมากๆ
- OPPO Reno5 น้ำหนัก 171 กรัม
- OPPO Reno5 5G สี Starry Black หนัก 172 กรัม และ สี Galactic Silver หนัก 180 กรัม
ใครที่ชอบสมาร์ทเครื่องบางๆ น้ำหนักเบา รับรองว่าจะชอบ OPPO Reno5 Series 5G อย่างแน่นอน และยิ่งสี Fantasy Silver กับ Galactic Silver เป็นสีที่สวยมาก กับเอฟเฟคสะท้อนแสงได้หลากหลายร่วมพันเฉดสี แถมยังเคลือบด้านจับแล้วไม่เกิดรอยนิ้วมือ เรียกว่าใครเอาไปใช้แล้วใส่เคสทึบๆ นี่ดูบาปมากๆ
ประสิทธิภาพ การใช้งาน
มาดูกันเรื่องสเปคขายในของทั้ง 2 รุ่นกันบ้าง OPPO Reno5 ใช้ชิปเซ็ตเป็น Qualcomm Snapdragon 720G Octa-core 2.3GHz ใส่ RAM มา 8GB และหน่วยความจำ 128GB เพิ่ม microSD ได้อีก 256GB และรองรับการใช้งานรองรับ 3G/4G
OPPO Reno5 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 765G Octa-core 2.4GHz ให้ RAM 8GB และหน่วยความจำ 128GB เหมือนกัน แต่จะเพิ่ม microSD ไม่ได้ รองรับการใช้งาน 3G/4G/5G กับทุกโอเปอเรเตอร์ที่ให้บริการ 5G ในไทยแล้วตอนนี้
ขนาดหน้าจอของทั้ง 2 รุ่น จะอยู่ที่ 6.43 นิ้ว เป็นแบบ AMOLED ให้สีสันที่สวยสดคมชัด 16.7 ล้านพิกเซล ความละเอียด FHD+ 1080 x 2400 พิกเซล (410ppi) เป็นจอที่อยู่ในเกรดที่ดี ให้ค่ารีเฟรชเรตที่ 90Hz และค่าความสัมผัสได้สูงสุดถึง 180Hz ทำให้เวลาใช้งานรู้สึกลื่นไหล ทั้งการเปิดหน้าเว็บ เลื่อน Scroll เมนู รวมไปถึงการเล่นเกม
สำหรับด้านของแบตเตอรี่และการชาร์จ OPPO Reno5 แบตเตอรี่ 4,310 mAh ส่วนเทคโนโลยีการชาร์จไวจะเป็นแบบ 50W Flash Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้ได้ 80% ภายในเวลา 31 นาที และชาร์จจนเต็ม 100% ในเวลาเพียง 48 นาทีเท่านั้น
ส่วนใน OPPO Reno5 5G จะมีแบตเตอรี่ให้มา 4,300 mAh พร้อมระบบเทคโนโลยีชาร์จ 65W SuperVOOC 2.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม จาก 0-100% ได้ภายในเวลาเพียงแค่ 35 นาทีเท่านั้น
ระบบปฏิบัติการใน OPPO Reno5 Series 5G จะเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ColorOS 11.1 บนพื้นฐานของ Android 11 ที่ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหล เรียบง่าย ใช้งานเข้าใจได้ไม่ยาก ด้วยการปรับแต่ง UI ต่างๆ ได้เป็นอิสระมากขึ้น พร้อมทั้งยังเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยแก่ผู้ใช้เป็นอย่างดี
การปรับแต่งเราสามารถเลือกปรับได้ตั้งแต่หน้า Alway-On Display ที่จะโชว์ในตอนที่ปิดเครื่องเอาไว้ เราเลือกปรับแต่งได้ทั้งสี, รูปลวดลายที่โชว์บนหน้าจอ, นาฬิกา, การแจ้งเตือน ฯลฯ ให้เป็นเอกลักษณ์ได้อย่างที่เราชอบ
มี Dark Mode สำหรับผู้ใช้ที่ชอบหน้า UI สีเข้มๆ สามารถเลือกปรับแต่ง Style ให้เข้มมากเข้มน้อย, ปรับวอลเปเปอร์และไอคอนให้เข้ากับ Dark Mode, ลดค่าความต่างในสภาพแสงน้อย และยังเลือกให้เปลี่ยนสลับใช้งานกับโหมดธรรมดาในเวลากลางวัน-กลางคืนให้อัตโนมัติ
Flex Drop การใช้งานแบบหลายแอปพร้อมกัน เลือกปรับหน้าต่างของแอบได้ทั้งแบบเต็มจอ, แยกแบ่งจอ หรือแบบลอยอยู่บนหน้าจอ เพื่อให้สามารถใช้งานหลายๆ แอปได้พร้อมกัน
ด้านของความปลอดภัย มี Private System ที่ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เราสามารถสร้างบัญชีแยกออกมา ด้วย System Clone ซึ่งแอปและข้อมูลในบัญชีที่สร้างแยกขึ้นมานี้ จะไม่เกี่ยวข้องกับบัญชีต้นฉบับของเรา โดยจะเลือกเข้าใช้งานได้ผ่านการสแกนลายนิ้วมือหรือรหัสผ่าน ที่ตั้งเอาไว้เท่านั้น โดยการเข้ารหัสใน OPPO Reno5 Series 5G เป็นรูปแบบที่เชื่อถือได้ในระดับสากลของอุตสาหกรรม เพื่อจัดเก็บและถ่ายโอนข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับจาก ISO, ePrivacy และ TrustArc
รีวิว หลังจากลองใช้งาน OPPO Reno5 Series 5G
ผมมีโอกาสได้ทดสอบลองใช้ทั้ง 2 รุ่นนี้อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าประทับใจในการใช้งานทุกอย่างได้ลื่นไหลอย่างที่น่าพอใจ ตั้งแต่ดีไซน์ที่มีความเบาและบาง ถือจับถนัดมือ โดยเฉพาะตัวเครื่องสี Galactic Silver ที่เป็นสีวิบวับแต่เคลือบด้าน ทำให้จับแล้วไม่มีรอยนิ้วมือ (Starry Black เป้นสีดำเงา แนะนำว่าควรใส่เคส เพราะรอยนิ้วมือขึ้นง่ายมาก)
เรื่องกล้อง ปีที่แล้วผมประทับใจกับ OPPO Reno4 Pro มากๆ ในเรื่องของการถ่ายวิดีโอ และ OPPO Reno5 Series 5G ที่จั่วหัวมาว่าซีรี่ย์นี้ เน้นการถ่ายวิดีโอ ก็ทำได้ไม่ผิดหวังเลย เรื่องการกันสั่นวิดีโอทำได้ดีมาก เปิดโหมด Ultra Stready ที่เลือกได้ 2 ระดับ เลือกแบบ Pro นี่ เดินถือถ่ายวิดีโอได้นิ่งๆ แบบใส่กิมบอลได้เลย คุณภาพความละเอียดของวิดีโอ กล้องหลังถ่ายก็ถ่ายได้ถึง 4K 30fps ส่วนกล้องหน้าได้ที่ 1080p
ลูกเล่นฟีเจอร์วิดีโอ Portrait ที่มีมาให้ ออกแบบมาให้ผู้ใช้เอาไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างคอนเทนต์วิดีโอได้แปลกใหม่ รวมถึงการเอา AI มาช่วยในกระบวนการถ่ายวิดีโอให้ถ่ายออกมาได้สภาพแสงสีที่สวย เก็บรายละเอียดที่คมชัด ได้ในทุกสภาวะแสง
สิ่งที่ทำให้หลงรักมากที่สุดสำหรับผมแล้วคือ SOLOOP เป็นแอปตัดต่อวิดีโอที่มีพัฒนาการดีขึ้นมากๆ โดยในเวอร์ชั่นที่มาใน OPPO Reno5 Series 5G นั้น ไม่ใช่แค่แอปตัดต่อด้วย AI ที่เลือกคลิปเลือกภาพแล้วเลือกธีมให้แอปจัดการตัดแบบอัตโนมัติให้อย่างเดียว ยังมีเพิ่ม Template ที่ซ้อนกราฟฟิคลูกเล่นให้เลือกได้หลากหลาย และที่เด็ดสุดคือ ตัวระบบการ Edit วิดีโอเอง มีการจัด Timeline, ซ้อนวิดีโอ, กราฟฟิค, ใส่เสียง, ใส่ Transition ที่ใช้ตัดต่อได้เหมือนแอปตัดต่อวิดีโอราคาแพงๆ ที่จ่ายเงินกันหลักหลายร้อยบาท แต่อันนี้มีแถมมาให้ใช้ฟรีๆ เลยในสมาร์ทโฟนของ OPPO
แบตเตอรี่กับการชาร์จเร็ว ทั้งแบบ 50W Flash Charge และ 65W SuperVOOC 2.0 เป็นระบบชาร์จที่มั่นใจได้เรื่องของความปลอดภัยที่มีป้องกันไว้ถึง 5 ชั้น และคุมเรื่องอุณหภูมิให้ไม่ร้อนมากระหว่างที่ชาร์จ และความเร็วที่ชาร์จได้ไวมากๆ บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องชาร์จคาไว้ตอนนอน คือตื่นมาเอามือถือเสียบชาร์จแล้วไปอาบน้ำ กลับมาแบตเตอรี่ก็เต็มพร้อมออกไปทำงานได้แล้ว และแบตเตอรี่ 4300 mAh ก็ใช้งานได้เพียงพอสำหรับใช้งานได้โดยไม่ต้องชาร์จเติมระหว่างวัน
การใช้งาน 5G บน OPPO Reno5 5G การจับสัญญาณทำได้ดี รวมถึงความเร็วการใช้งานนั้นมีความเสถียร ทำสปีดเทสต์ได้ความเร็วสูสีกับสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปที่ออกในปีที่แล้ว และการใช้ 5G ส่วนตัวผมยังไม่รู้สึกถึงการที่แบตเตอรี่จะเร็วกว่าการใช้งานบนสมาร์ทโฟน 4G สักเท่าไหร่ คือสามารถใช้งานเต็มวันได้เช่นกัน
สรุปความแตกต่างของ OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G
สุดท้าย โดยรวมแล้วทั้ง 2 รุ่นนี้มีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง เอาเป็นว่าหน้าตาดีไซน์เครื่องนี่ เหมือนกันเป๊ะๆ แทบจะแยกไม่ออก แต่ก็มีความแตกต่างกันในเรื่องฟีเจอร์ใช้งานและสเปคของฮาร์ดแวร์ภายใน และแน่นอนราคาก็ต่างกันด้วย ขอสรุปเป็นข้อๆ ให้สำหรับใครอยากจะพิจารณาเลือกซื้อระหว่าง 2 รุ่นนี้กัน
- ชิปเซ็ต : OPPO Reno5 ใช้เป็น Qualcomm Snapdragon 720G (8nm) ส่วน OPPO Reno5 5G เป็น Qualcomm Snapdragon 765G (7nm)
- รองรับเครือข่าย OPPO Reno5 เป็น 3G/4G ส่วน OPPO Reno5 5G รองรับ 3G/4G และ 5G แบบ SA/NSA
- กล้องหน้า : OPPO Reno5 ความละเอียด 44MP OPPO Reno5 5G ความละเอียด 32MP
- ฟีเจอร์กล้อง : AI Mixed Portrait, AI Color Portrait, SOLOOP Template มีเฉพาะใน OPPO Reno5
- แบตเตอรี่ : OPPO Reno5 4,310 mAh ส่วน OPPO Reno5 5G 4,300 mAh
- ระบบชาร์จเร็ว : OPPO Reno5 เป็น 50W Flash Charge ส่วน OPPO Reno5 5G ใช้เป็น 65W SuperVOOC 2.0
- ถาดซิม : OPPO Reno5 เป็น Triple Tray ใส่ได้ 2 นาโนซิม + microSD ส่วน OPPO Reno5 5G ถาดรองรับ 2 นาโนซิม เพิ่ม microSD ไม่ได้
โปรโมชั่น และ ราคา OPPO Reno5 Series 5G
OPPO Reno5 ราคา 10,990 บาท มี 2 สี ได้แก่ สีเงิน Fantasy Silver และสีดำ Starry Black สำหรับ OPPO Reno5 5G ราคา 13,990 บาท มี 2 สีเช่นเดียวกัน คือ สีเงิน Galactic Silver และสีดำ Starry Black จองได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 5 กุมภาพันธ์ พร้อมรับโปรโมชั่นและของสมนาคุณจัดเต็ม
- สำหรับผู้ที่จอง OPPO Reno5 รับฟรี Smart Scale และ OPPO E-VIP Card มูลค่ารวม 6,299 บาท
- สำหรับผู้ที่จอง OPPO Reno5 5G รับฟรี Smart Scale, Bluetooth Speaker และ OPPO E-VIP Card มูลค่ารวม 8,398 บาท
เป็นเจ้าของ OPPO Reno5 Series 5G ได้ง่ายขึ้นเมื่อจองผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย โดยสามารถเป็นเจ้าของ OPPO Reno5 ในราคาเริ่มต้นเพียง 4,490 บาท และเป็นเจ้าของ OPPO Reno5 5G ในราคาเริ่มต้น 5,490 บาท ระหว่างวันนี้ถึง 5 กุมภาพันธ์นี้ เท่านั้น
โดย OPPO Reno5 Series 5G จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/oppothai/