รีวิว ASUS TUF DASH F15 เกมมิ่งโน้ตบุ๊ค ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน CES 2021 ช่วงต้นเดือนมกราคม ล่าสุด ไม่ต้องรอกันนาน ตอนนี้เปิดขายในไทยเรียบร้อยแล้ว จุดเด่นคือ ความบางเบา น้ำหนักเพียงแค่ 2 กิโลกรัม และหนาไม่ถึง 2 เซนติเมตร ดีไซน์เรียบๆ แต่สเปคข้างในสดใหม่ กับ Intel 11th Gen ตัวล่าสุด จอ 240Hz ที่สำคัญราคานั้นไม่ได้แรงจนเกินเอื้อมอีกด้วย
ปกติแล้ว เกมมิ่งโน้ตบุ๊ค ในซีรีย์ TUF ของ ASUS นั้น จะเป็นกลุ่มที่ออกแบบมาให้หนาหนัก ดูอึดทึก เพื่อที่ว่าจะได้ลดต้นทุนให้สามารถตั้งราคาขายได้ถูกกว่าโน๊ตบุ้คที่เครื่องบางๆ เบาๆ แต่กับ TUF DASH F15 ตัวนี้มาแบบแตกต่างจากรุ่นก่อนๆ เพราะสิ่งที่เด่นมากทันทีที่ได้สัมผัสก็คือ มันเป็นเกมมิ่งโน้ตบุ๊ค ขนาดหน้าจอ 15 นิ้ว ที่ไม่ได้หนักมากนัก รวมถึงขนาดก็ยังค่อนข้างบางอีกด้วย
ถ้าเทียบรุ่นนี้กับรุ่นพี่ในตระกูล TUF แล้ว มีความหนาลดลงไปถึง 20% ส่วนน้ำหนักก็เบาลงไปร่วมๆ 10% เลย
จึงเป็นจุดที่น่าสนใจกับรุ่นนี้ สำหรับคนที่อยากได้โน้ตบุ๊คแรงๆ ที่ใช้ได้ทั้งเล่นเกมและทำงานกราฟฟิคได้ โดยที่มีขนาดและน้ำหนักไม่มากจนเกินไป คุณสามารถหยิบใส่กระเป๋าเป้สะพายไปทำงานนอกสถานที่ ออฟฟิศ หรือนัดทำงานได้คล่องตัว ไม่ต้องแบกกันหลังแอ่น
รีวิว ASUS TUF DASH F15 : Design เรียบๆ แต่มีทุกอย่างมาให้ครบครัน
ตัวเครื่องของ ASUS TUF DASH F15 จะมีให้เลือกสีเดียวคือ สีเทา Eclipse Gray เป็นสีแบบเข้มๆ พกสะดวก ตัวฝาเครื่องด้านบน วัสดุเป็นแมกนีเซียมอัลลอยด์ มีเล่นลวดลายโลโก้ของ TUF อยู่บริเวณมุม และอีกด้านมีคำว่า TUF ตัวใหญ่ๆ เป็นลวดลายเพื่อตกแต่งให้ฝาเครื่องดูไม่เรียบเกินไป
ตรงที่บริเวณด้านล่างของจอ จะมีการเว้นเว้า ที่ทำให้เห็นไฟสถานะการทำงานของเครื่องได้ในตอนที่ปิดฝาเครื่อง และเมื่อเปิดหน้าจอก็จะเป็นช่องให้ลมพัดผ่าน เพื่อเพิ่มช่องทางการระบายความร้อนได้อีกหน่อย เป็นดีไซน์ที่เรามักจะเห็นโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่นิยมใช้กัน
ด้านข้างของเครื่อง อย่างที่เราบอกไปว่า รุ่นนี้มีความบางเป็นพิเศษ อยู่ที่ 2 เซนติเมตรเท่านั้น ทำให้สะดวกในการพกพาในกระเป๋าเป้มากขึ้น โดยที่ด้านหลังเครื่อง จะมีช่องระบายความร้อนในเครื่อง ขนาดใหญ่ 2 จุด ออกแบบมาเป็นครีบให้ลมพัดเฉียงออกด้านหลัง
ด้านล่างของเครื่อง จะมีช่องลำโพงคู่แบบสเตอริโออยู่ที่มุมด้านหน้าเครื่อง ให้เสียงที่ดังชัดเวลาเล่นเกมและใช้งาน และจะมีช่องของพัดลมดูดลมเข้าอยู่ช่วงหลัง โดยจะมีแท่งยางเป็นขาให้ตัวเครื่องลอยสูงจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย
ด้านข้างของเครื่อง จะมีช่องระบายความร้อนอยู่ทั้ง 2 ข้างด้านบน ตำแหน่งนี้ค่อนข้างดี เพราะเวลาใช้งานลมที่พัดออกมาจะไม่โดนมือของเรา
สำหรับตัวเครื่อง ดีไซน์นั้น ตามสไตล์ของ TUF คือเรียบๆ ไม่ได้มีลูกเล่นหรือใช้วัสดุพรีเมี่ยมอะไรมากนัก แต่ได้ใจไปเลยกับความบางที่ทำให้มันดูสะดวกพกพามากขึ้น แต่ยังไงก็ยังคงความบึกบึน เพราะการออกแบบยังได้ผ่านมาตรฐานทางการทหาร MIL-STD-810H ที่ให้คุณใช้งานพกพาได้อุ่นใจ สมบุกสมบันได้พอสมควร และทนกับสภาพอากาศและการกระแทกได้อยู่
พอร์ตเชื่อมต่อ
มาดูกันเรื่องการเชื่อมต่อกันบ้าง ที่ด้านข้างของเครื่อง ฝั่งขวา จะมีพอร์ต USB-A 3.2 มาให้ 2 ช่อง และมีช่อง Kensington Lock มาให้เอาไว้สำหรับเสียบตัวสายล็อคเครื่องมาให้ด้วย
ทางด้านซ้ายนั้น ไล่ไปเลยจะเป็นพอร์ตเสียบอุปกรณ์ชาร์จ แบบ 200W ที่มีเทคโนโลยีชาร์จเร็ว สามารถชาร์จแบตเต็ม 50% ได้ในเวลาแค่ครี่งชั่วโมง ต่อมาก็จะเป็นช่องเสียบสาย LAN (RJ45), ช่อง HDMI 2.0 สำหรับต่อสัญญาณภาพออกจอนอก แล้วจะมี USB-A 3.2 ให้ทางฝั่งนี้ด้วยอีกพอร์ต
อันนี้ดีมาก เพราะ ASUS TUF DASH F15 มีพอร์ต USB-C แบบ Thunderbolt 4 มาตรฐานใหม่ล่าสุดใส่มาให้ด้วย ที่พร้อมรองรับใช้งานในอนาคตไปได้อีกหลายปี ด้วยความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่เร็วได้ถึง 40MBps เอาไว้ต่อออกจอ 8K ได้ รวมถึงยังรองรับ Power Delivery ที่สามารถเอาอแดปเตอร์ชาร์จ 65W มาเสียบชาร์จได้ ก็จะช่วยให้สะดวกในการไปใช้งานนอกบ้าน ไม่ต้องพกตัวอแดปเตอร์ 200W ไปด้วยให้เกะกะ เอาอแดปเตอร์ PD ที่ใช้กับสมาร์ทโฟนมาเสียบได้เลย และสุดท้ายจะมีช่องหูฟัง+ไมค์ขนาด 3.5 นิ้วมาให้
สำหรับการใช้งานไร้สาย ASUS TUF DASH F15 มี Wi-Fi 6 มาให้ด้วย เพื่อความสะดวกสบายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เนตความเร็วสูงได้โดยไม่ต้องใช้สาย LAN ก็ได้
หน้าจอ
ตัวหน้าจอเป็นแบบ IPS ขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1920 x 1080 ที่มาพร้อมกับค่า Refresh rate ที่สูงถึง 240Hz และอัตราการตอบสนองอยู่ที่ 3ms เป็นสเปคของจอสำหรับเกมมิ่งที่ดีมากๆ ให้ความไหลลื่นของภาพกราฟฟิคที่สวยงามชัดเจน และหน้าจอตัวนี้ ASUS ออกแบบเป็น Super Narrow Bezel ที่ขอบด้านข้างและบนของจอเหลือพื้นที่น้อยมาก ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดไม่ใหญ่มาก
สำหรับคนทำงาน จอตัวนี้มาพร้อมกับค่าการแสดงสีที่เที่ยงตรง sRGB 100% สำหรับสายงานกราฟฟิคดีไซน์ ช่างภาพรีทัชภาพ หรือตัดต่อวิดีโอ ก็ยังตอบโจทย์ให้คุณได้เป็นอย่างดี เรียกว่าไม่เอามาเล่นเกม ก็ใช้เป็นโน้ตบุ๊คสายครีเอเตอร์ได้เช่นกัน
แต่ว่ามีข้อสังเกตคือ หน้าจอนี้ ไม่มีกล้องเว็บแคมติดตั้งมาให้ด้วย ซึ่งตอนนี้น่าจะกำลังเป็นเทรนด์ของทางฝั่งเกมมิ่งโน้ตบุ๊ค ที่เอากล้องเว็บแคมออกไป เพื่อที่ให้ด้านหน้าจอใหญ่ได้เต็มที่ รวมถึงฝั่งเกมเมอร์มักจะมีความต้องการใช้กล้องเว็บแคมคุณภาพสูงกว่าที่แบรนด์ใส่มาให้เป็นพื้นฐาน ก็เลยออกไปซะเลย แล้วให้เอากล้องแบบต่อภายนอกมาใช้แทน
ระบบเสียง
ตัวลำโพงของรุ่นนี้ รองรับระบบเสียง DTS: X ที่ตอบสนองในการชมคอนเทนต์บันเทิงต่างๆ ได้เต็มอรรถรส และตัวซอฟท์แวร์ยังมี Two-Way AI Noise Cancelation มาช่วยตัดเสียงรบกวนขณะใช้ไมโครโฟนได้ (แต่ว่าต้องใช้ไมค์แบบเสียบช่อง 3.5 ม.ม.นะ)
คีย์บอร์ด และ แทร็คแพ็ด
แป้นคีย์บอร์ด ดีไซน์มาให้ความรู้สึกเป็นเกมมิ่งโน้ตบุ๊ค จัดวางเรียงปุ่มอยู่ในแอ่งที่เว้นลงไป ตัวปุ่ม WASD ทำเป็นสีใสเพื่อให้สังเกตเป็นปุ่มบังคับทิศทาง การเรียงแป้นเว้นตำแหน่งใช้งานถนัดมือ เด้งดีอยู่ครับ ทั้งการดพิมพ์งานและเล่นเกม มีการแยกปุ่มปรับระดับเสียง, เปิดปิดไมค์ และปุ่มลัดเข้า Armoury Create แยกไว้ให้ที่ด้านบนสุด ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องจะแยกอยู่ทางขวา และด้านบนสุดจะมีช่องระบายความร้อนเรียงไว้ 2 แถวอยู่ด้วย
ไฟคีย์บอร์ดเป็นแบบ Backlit ที่มีมาเป็นสีเขียวสีเดียว ไม่สามารถเปลี่ยนสีได้ ไม่ได้เป็นแบบ RGB วิบวับ ถือว่าเป็นเรื่องปกติของ TUF Series อันนี้ถ้าใครไม่ชอบสีเขียวก็อาจจะมีขัดใจกันบ้าง ส่วนตัวผมดูแล้วก็สวยดีครับ ตัดกับสีดำให้ความรู้สึกเท่ๆ ดุดัน โดยแสงไฟแม้ว่าจะเปลี่ยนสีไม่ได้ แต่เราเลือกเอฟเฟกต์ให้กระพริบแบบ Breathing และ Stobing ได้อยู่
ตัวแทร็คแพดแบบสัมผัส มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ ใช้งานสัมผัสลื่นไหล ตอบสนองการใช้งานได้ดี และสังเกตว่า ไม่มีตัวเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคเครื่องมาให้
Spec จัดเต็ม พร้อมทั้งเล่นเกมและทำงานในเครื่องเดียว
ขุมพลังภายใน ทาง ASUS เลือกใช้เป็น Intel Core i7-11370H เจน 11 ล่าสุด ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊ครุ่นแรกๆ ที่ใช้ซีพียูรุ่นนี้แล้ววางจำหน่ายในไทย ตัวการจอ จะมี 2 ตัว คือ Intel Iris Xe ที่มาพร้อมกับตัวซีพียู เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เพราะใช้พลังงานน้อยไม่เปลืองแบตเตอรี่ และตัวการ์ดจอแยก จัดมาให้เลย เป็น Nvidia GeForce RTX 3070 ที่รุ่นนี้รองรับ Ray Tracing ด้วย ตอบโจทย์รองรับเกมกราฟฟิคระดับสูง ให้ได้ภาพสวยเอฟเฟคแสงสมจริงแบบสุดๆ
RAM ที่ให้มาเป็น 16GB DDR4 3200MHz เป็นแบบฝั่ง Onboard 8GB เราสามารถอัปเกรด เปลี่ยน 8GB อีกสล็อตออก แล้วเสียบเพิ่มได้สูงสุด 16GB รวมแล้วเป็น 24GB ถือว่าเยอะเหลือเฟือสำหรับการเล่นเกมและงานกราฟฟิคได้สบาย
หน่วยความจำภายในเป็น SSD NVMe M.2 PCIe 3.0 ความจุ 1TB ความเร็วถือว่าดีมาก อ่าน-เขียน วิ่งอยู่ที่ 3000 MB/s โดยจะมีช่องให้เพิ่ม SSD ได้อีกสล็อต ถือว่าเปิดให้ผู้ใช้อัปเกรดได้ค่อนข้างเยอะเลยกับรุ่นนี้
เครื่องมีติดตั้ง Windows 10 Home มาให้เรียบร้อย พร้อมใช้งาน แค่เปิดเครื่องมาก็เซ็ตอัพและใช้งานได้เลย
ประสิทธิภาพ
ทดสอบ Benchmark การทำงานด้วย PCMARK ทำคะแนนไปได้ถึง 6241 ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก ดีกว่าตัว Gen10 พอสมควรเลย ประสิทธิภาพระดับนี้ ถือว่าเหลือเฟือสำหรับการทำงานทั่วๆ ไป จนถึงการทำงานครีเอเตอร์ทั้งแต่งภาพ ตัดต่อวิดีโอ ทำได้สบายแบบไร้กังวล
แบตเตอรี่
ความจุ 76WHrs การใช้งานแบตเตอรี่ ถือว่าทำดีจนน่าประทับใจมากๆ จากการทดสอบลองใช้งานแบบพกออกไปนอกบ้าน ชาร์แบบเต็มๆ ถ้าเอาไว้ใช้งานทั่วไป อินเทอร์เนต ดูหนัง พิมพ์งานเอกสารต่างๆ แบตเตอรี่อยู่ได้เช้ายันเย็น 8-10 ชั่วโมงได้แบบไร้กังวล
แต่หากใช้งานด้านกราฟฟิกอย่างแต่งภาพด้วย Photoshop, ตัดต่อวิดีโอ หรือว่าเล่นเกม อันนี้อยู่ได้เต็มที่คือ 3 ชั่วโมงนิดๆ ดังนั้นถ้าต้องใช้งานหนัก แนะนำให้พกอแดปเตอร์ชาร์จไปด้วย ซึ่งใช้แบบ PD 65W ชาร์จไปทำงานไปก็ยังได้อยู่
สรุป รีวิว ประสบการณ์หลังทดสอบใช้งาน ASUS TUF DASH F15
ASUS ทำสเปคของ TUF DASH F15 ออกมาได้น่าสนใจ ด้านประสิทธิภาพ ที่ให้ Intel Core i7-11370H 11th Generation ที่แรงดีกว่า Gen10 เยอะพอสมควร ความยืดหยุ่นของการอัปเกรดเพิ่มเองได้ทั้ง RAM และ SSD ตัวการ์ดจอ RTX 3070 นี่ก็เหลือพอสำหรับการเล่นเกมฮิตต่างๆ ได้สบาย อย่าง CyberPunk 2077 ตัวนี้ก็รองรับ Ray Tracing ด้วย ส่วนหน้าจอเป็นเกรดที่ดีมาก 240Hz sRGB 100% มันพร้อมรับมือได้ทั้งการเล่นเกมที่ไหลสมูธลื่นตา และการทำงานที่สีตรงไม่เพี้ยน
ดีไซน์ของเครื่อง ตามสไตล์ TUF ที่ไม่ได้หวือหวา เรียบๆ นิ่งๆ แต่ ASUS ก็ทำออกมาได้สวยงาม ถือวางนั่งเล่นได้เท่ๆ ที่ต้องปรบมือให้เลยคือ การทำให TUF ผอมบางลงมาเหลือน้ำหนักแค่ 2 กิโลกรัม และหนาไม่ถึง 2 เซนติเมตร ลืมภาพตัวเครื่องหนาๆ เป็นรถถังของ TUF รุ่นอื่นไปเลย และการทำให้เครื่องบางลงขนาดนี้ ยังจัดสเปคให้ได้ Performance ระดับนี้ถือว่าดีมากๆ
สิ่งที่ตัดหายไป และข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็น ไฟของคีย์บอร์ดที่เป็นสีเขียวสีเดียว เปลี่ยนไม่ได้, กล้องเว็บแคมที่โดนถอดออกไป อีกอย่างที่ส่วนตัวแอบเสียดาย คือการออกแบบการเปิดเครื่องแล้วยกเครื่องให้สูงขึ้นได้แบบ Ergo Lift ที่เป็นอะไรที่ผมชอบมากับโน้ตบุ๊ค ใน TUF Dash F15 ไม่มีให้ การยกตัวเพื่อระบายความร้อนเลยอาจจะน้อยหน่อย
ถ้าถามว่ารุ่นนี้น่าสนใจแค่ไหน แน่นอนว่า ความเป็น TUF ที่ทำสเปคมาดีชนิดที่ว่าอีกนิดจะเบียดกับ ROG ได้แล้ว ดีไซน์เรียบแต่บางและเบา มันเหมาะมากสำหรับใครที่ต้องการโน้ตบุ๊คที่ตอบโจทย์ได้ทั้งการเล่นเกมระดับกราฟฟิคสูงๆ โดยที่ทำงานด้านครีเอเตอร์ต่างๆ ได้ด้วย เล่นก็ได้ ทำงานก็เวิร์ค โดยที่ราคาออกมาโอเคเลย
ราคา และ รุ่นการจำหน่ายในประเทศไทย
TUF Dash F15 พร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2564 เป็นต้นไปในราคาเริ่มต้น 44,990 บาท มาพร้อม Windows 10 Home ติดตั้งพร้อมใช้งาน และการรับประกัน Global warranty 2 ปี โดยมีประกันอุบัติเหตุ Perfect warranty 1 ปี
- ASUS TUF Dash F15 (FX516PR-HN033T) ราคา 44,990 บาท: Intel Core i7-11370H/NVIDIA GeForce RTX 3070 8GB GDDR6/16GB DDR4 on board/512GB M.2 NVMe PCIe 3.0 SSD/15.6” FHD 144Hz /Backlit Chiclet Keyboard/Wi-Fi 6/76WHrs/Windows 10 Home
- ASUS TUF Dash F15 (FX516PR-AZ019T) ราคา 48,990 บาท: Intel Core i7-11370H/NVIDIA GeForce RTX 3070 8GB GDDR6/8GB DDR4 on board + 8GB DDR4-3200/1TB M.2 NVMe PCIe 3.0 SSD/ 15.6” FHD 240Hz /Backlit Chiclet Keyboard/Wi-Fi 6/76WHrs/Windows 10 Home
ขอบคุณทาง เอเซุส (ประเทศไทย) ที่ส่ง TUF DASH F15 มาให้ทีมงาน ล้ำหน้าฯ ได้ทดสอบ สามารถหาซื้อได้แล้ว ผ่านทางตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศ เช็คข้อมูลได้ที่ https://bit.ly/3alNWSB
รวมถึงช็อปปิ้งออนไลน์ได้ด้วยเช่นกันทาง ASUS Official Store บน Shopee : https://bit.ly/2UEpBCb และ ASUS Official Store บน Lazada : https://bit.ly/2UBBmcJ