สวัสดีครับ มาพบกับ พรีวิว OPPO Find X3 Pro 5G สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงประจำปี 2021 ของทางออปโป้ ที่สร้างความโดดเด่นที่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ ที่มีในท้องตลาด เพราะ OPPO Find X3 Pro 5G มุ่งเน้นกับการเป็น “สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลก ที่สามารถถ่ายภาพและแสดงภาพได้ถึง หนึ่งพันล้านสี” รวมถึงการดีไซน์ที่สวยหรูแบบเกินคาด และแน่นอนเรื่องประสิทธิภาพ สเปคต่างๆ ก็คือเทคโนโลยีที่ดีที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟนยุคนี้
ก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของ OPPO Find X Series
ใช่แล้วครับ! ตอนนี้สมาร์ทโฟน Find X Series นั้นครบรอบ 10 ปีแล้ว ถือกำเนิดครั้งแรกในปี 2011 กับรุ่น Find X903 เป็นสมาร์ทโฟนระบบแอนดรอยด์ ล้ำด้วยดีไซน์สไลด์ซ่อนปุ่มกดแบบ QWERTY ตัวเครื่องน้ำหนักเบาและบางกว่าสมาร์ทโฟนแบบเดียวกันรุ่นอื่นในยุคนั้น
และในปี 2012 ออปโป้ก็ได้เปิดตัว รุ่น OPPO Find 3 เป็นสมาร์ทโฟนของออปโป้รุ่นแรกที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ที่ตัวเครื่องสวยงามด้วยวัสดุอลูมิเนียมผสานกับวัสดุเคฟล่า ให้ความรู้สึกที่สวยงามหรูหราอย่างแตกต่าง
ต่อมาก็ได้เปิดตัว OPPO Finder ที่เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่มีความบางที่สุด คือบางเพียงแค่ 6.65 มิลลิเมตรเท่านั้น เพราะว่าสมาร์ทโฟนนอกจากสวยงามและประสิทธิภาพดี เรื่องความบางและเบาก็ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ออปโป้ไม่เคยมองข้าม
ปี 2014 OPPO ส่ง Find 7 สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมกับนวัตกรรมชาร์จไว VOOC Flash Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วกว่าทุกแบรนด์ โดยมีระบบรักษาความปลอดภัยถึง 5 ชั้น เป็น OPPO รุ่นดังที่ขายดีมากๆ ในยุคนั้น
ปี 2018 ออปโป้ปฏิวัติการออกแบบสมาร์ทโฟนอีกครั้ง ด้วย OPPO Find X ด้วยดีไซน์หน้าจอไร้รอยบาก พร้อมกลไกซ่อนกล้องเลื่อนขึ้นลง Stealth 3D Camera พร้อมทั้งยังเป็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นแรกที่มีระบบใบหน้า 3D Scanner
ปี 2020 กับ OPPO Find X2 Series 5G ครั้งแรกกับสมาร์ทโฟนที่มากับหน้าจอแสดงผลแบบ 10-bit ให้สีสันสวยสดงดงาม พร้อเทคโนโลยีการถ่ายภาพและประสิทธิภาพที่ดีมาก และเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นแรกของ OPPO ที่รองรับ 5G
และวันนี้กับ OPPO Find X3 Pro 5G ถือว่าเป็นก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของซีรี่ย์เรือธงของออปโป้ ที่เรียกว่ารักษาปรัชญาการออกแบบและสร้างสินค้าที่สวยงาม เปี่ยมด้วยคุณภาพ และมีนวัตกรรมที่ล้ำอนาคตไปอีกขั้นให้แฟนๆ ได้สัมผัสจริงได้ในวันนี้
Unbox แกะกล่อง พรีวิว OPPO Find X3 Pro 5G
มาเข้าสู่การแกะกล่อง OPPO Find X3 Pro 5G ที่ยังคงเป็นทรงแบบเดิม แต่มีการเปลี่ยนสีของกล่องเป็นโทนสีเงินตัดกับสีดำ ให้ความรู้สึกเรียบๆ ดูเป็นอวกาศ และแพ็กเกจทั้งหมดใช้วัสดุเป็นกระดาษที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ทั้งหมด รักษ์โลกแบบไม่ต้องตัดอุปกรณ์เสริมในกล่องทิ้ง
ด้านในกล่องจะมีของแถมส่วนแรกอยู่ในกล่องชั้นในที่ปิดทับเครื่องไว้ เป็นเคสแบบซิลิโคนที่ค่อนข้างบาง ใช้สวมเพื่อหุ้มตัวเครื่องและขอบข้างเพื่อป้องกันรอยขีดข่วน
ในกล่องนี้จะมีเอกสารคู่มือใช้งานเบื้องต้น, คู่มือความปลอดภัยเบื้องต้น ใบรับประกันแบบ Worldwide และเข็มสำหรับจิ้มถาดซิม
ด้านใต้ในสุดของกล่อง จะมีอุปกรณ์เสริม เป็นอแดปเตอร์ชาร์จ รองรับ 65W Super VOOC 2.0 มีสายชาร์จหัว USB-A to USB-C สำหรับชาร์จไฟและเสียบเพื่อโอนถ่ายข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ และล่างสุดจะมีชุดหูฟังสมอลทอล์ก หัวต่อแบบ USB-C
ตื่นตากับ 10-bit Full-path Colour Engine ประมวลผล พันล้านสี ตลอดทั้งกระบวนการ
สิ่งที่ต้องพูดกันก่อนเลยก็คือเรื่องคอนเซ็ปต์ของ OPPO Find X3 Pro 5G ที่ใช้คำว่า “Awaken Colour” สื่อถึงตัวระบบสี 1 พันล้านสี ที่ออปโป้ต้องการให้ผู้ใช้สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ให้ได้สีสันในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนบนสมาร์ทโฟน
ในปีที่แล้วกับ OPPO Find X2 Series ที่เริ่มใช้หน้าจอแบบ 10-bit ก็ยกระดับประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านหน้าจอแสดงผลคุณภาพสูงเป็นครั้งแรก มาในรุ่นนี้ จึงต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบทั้งหมด
OPPO Find X3 Pro 5G จึงเติมเต็มด้วย 10-bit Full-path Colour Engine ที่อัปเกรดตัวฮาร์ดแวร์กันตั้งแต่เซ็นเซอร์กล้องใหม่ที่ออกแบบกับวิศวกร ทำให้สามารถถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอได้ค่าสีระดับ 10-bit ผ่านสู่ขั้นตอนการเข้ารหัส, การจัดเก็บบันทึกไฟล์ในมาตรฐาน 10-bit HEIF และการถอดรหัส ทำให้เราสามารถได้ไฟล์คุณภาพที่รองรับสีได้ถึง 1 พันล้านสี เพื่อที่ให้แสดงผลบนหน้าจอพันล้านสีได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จึงทำให้ OPPO Find X3 Pro 5G มีกระบวนการควบคุมสีระดับ 1 พันล้านสีครบตั้งแต่ตัวกล้อง มายังการเข้ารหัส การบันทึกไฟล์ การถอดรหัส และแสดงผลหน้าจอ ที่เป็นมาตรฐาน 10-bit ในทุกขั้นตอน ซึ่งยังไม่มีสมาร์ทโฟนรุ่นใดในท้องตลาดที่ทำได้ตอนนี้
หน้าจอ OPPO Find X3 Pro 5G เป็นจอ AMOLED แบบ LTPO ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด QHD (3216 x 1440) 525 ppi มีอัตราส่วนคอนทราสต์สี 5,000,000:1 พร้อมค่าความสว่างสูงสุดถึง 1300nits โดยปรับความสว่างได้มากถึง 8192 ระดับ เป็นหน้าจอที่ทาง DisplayMate ยกให้อยู่ในระดับ A+ ซึ่งดีที่สุด
ตัวหน้าจอสามารถขอบเขตสีได้กว่าง 100% DCI-P3 ที่เที่ยงตรงด้วยค่า 0.4 JNCD ที่ความแม่นยำของสีระดับมืออาชีพ และแสดงคอนเทนต์ได้แบบ HDR10+
ความเป็นหน้าจอแสดงผล 1 พันล้านสีนั้น จะให้สีสันได้มากกว่าจอทั่วๆ ไปที่เป็นแบบ 8-bit ถึง 64 เท่า
ค่ารีเฟรชเรตของหน้าจอ เป็นแบบ Adaptive 120Hz โดยมีช่วงการปรับค่ารีเฟชรเรตได้กว้างตั้งแต่ 5-120 Hz ระบบสามารถปรับค่าเพิ่มลดให้อัตโนมัติตามรูปแบบคอนเทนต์ที่เปิดใช้งาน เพื่อช่วยประหยัดพลังงานให้ได้มากที่สุด
OPPO ใส่ใจในการแสดงผลที่ได้สีสันที่ดีสุด เพราะทุกคนมีโอกาสที่จะความบกพร่องในด้านการมองเห็นสี จึงมีระบบ Colour Vision Enhancement ที่ให้เราสามารถปรับจูนการแสดงผลที่เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับเราได้ ด้วยการทดสอบ Munsell 100 Hue Test เพื่อหาความสมดุลของการแสดงสีที่เหมาะกับผู้ใช้มากที่สุด ซึ่งมีผลลัพธ์การปรับสีได้มากถึง 765 แบบ
กล้องของ OPPO Find X3 Pro 5G เป็นการยกเครื่องใหม่หมด กับครั้งแรกที่ใช้กล้องหลักแบบคู่ 2 เลนส์ ใช้เซ็นเซอร์ IMX766 รุ่นพิเศษที่ออปโป้พัฒนาร่วมกับโซนี่ เพื่อให้สามารถจับภาพสีสันระดับ 10-bit ได้ โดยความละเอียดสูงถึง 50MP ในทั้งเลนส์หลัก (Wide) และเลนส์มุมกว้าง (Ultra-Wide) เป็นแนวคิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในสมาร์ทโฟน ที่ใช้กล้องเลนส์หลักทำงานร่วมกัน 2 ตัว แต่นี่ก็ช่วยให้คุณสามารถเก็บภาพในทุกมุมมองได้คุณภาพสีดีที่สุด
ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีตัวกล้อง Telephoto 13MP ที่รองรับการจับภาพสี 10-bit ได้ด้วย การซูมสามารถเก็บระยะ Hybrid Optical Zoom ที่ 5 เท่า และ Digital Zoom สูงสุดที่ 20 เท่า
และอีกความน่าตื่นเต้นกับกล้องของ OPPO Find X3 Pro 5G ก็คือกล้อง Microlens ความละเอียด 3MP ที่มีประสิทธิภาพในการซูมวัตถุขนาดเล็ก ด้วยกำลังขยายสูงสุดถึง 60 เท่า เราสามารถถ่ายภาพในระยะโฟกัสห่างจากวัตถุที่ 1-4 มิลลิเมตร ทำให้สามารถเก็บภาพขยายวัตถุได้เหมือนกับกล้องจุลทรรศ์กันเลย
โดยเลนส์ตัวนี้จะมีใส่ไฟ Ring Light รอบเลนส์ เพื่อให้เวลาส่องนาบกับวัตถุ จะมีแสงสว่างให้เลนส์สามารถเก็บภาพได้ชัดเจน และยังถ่ายวิดีโอขนาดเล็กได้ถึง 1080p อีกด้วย
นอกจากนี้ระบบกล้องของ OPPO Find X3 Pro 5G ยังสามารถถ่ายได้อีกในหลายโหมดที่น่าสนใจ
- Cinematic Mode ถ่ายวิดีโอระดับ 1 พันล้านสี เป็นครั้งแรกที่สมาร์ทโฟนของ OPPO สามารถถ่ายวิดีโอแบบ Manual ปรับค่าต่างๆ ได้เหมือนกล้องโปร ถ่ายความละเอียดได้สูงสุดถึง 4K โดยรองรับช่วงสี BT.2020, HDR และบันทึกแบบ LOG เพื่อเอาไปใช้เกรดสีเพื่อทำวิดีโอโปรดักชั่นระดับมืออาชีพได้เลย
- RAW+ การถ่ายภาพในโหมดโปร ที่เก็บรายละเอียดของภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งได้มากยิ่งกว่าเดิม ทั้งการเก็บค่า HDR ที่กว้างขึ้น เราสามารถเอาไฟล์ RAW+ ไปปรับแต่งในโปรแกรมระดับมืออาชีพอย่าง Adobe Lightroom ได้อีกด้วย
ดีไซน์สวยล้ำอนาคต โค้งมนไร้เหลี่ยม ไร้รอยต่อ
มาส่องดูรอบตัวเครื่องกันบ้าง ดีไซน์ของ OPPO Find X3 Pro 5G นั้น สร้างความตะลึงให้กับผมมากๆ ในตอนแรกที่เราเห็นภาพหลุดออกมาก่อนเปิดตัว หลายคนกังวลกับตัวเบ้ากล้องที่มีการจัดวางแปลกๆ ดูเหมือนนูนออกมาจากฝาหลัง ซึ่งเป็นดีไซน์ที่ไม่มีใครทำมาก่อน
แต่พอได้ลองสัมผัสของจริงแล้ว กลับไม่รู้สึกว่ามันประหลาดหรือขัดตาแต่อย่างใด เพราะความนูนมันไม่ได้สูงจากฝาหลังมากนัก และการออกแบบให้ความนูนนั้นไม่มีเหลี่ยม แต่ทำเป็นฝาหลังกระจกชิ้นเดียว แต่ขึ้นรูปให้มีความโค้งมนอย่างปราณีต
การออกแบบเครื่อง ออปโป้ต้องการผู้ใช้ถือแล้วรู้สึกสัมผัสที่นุ่มนวล จะเห็นได้ว่ามันไม่มีส่วนที่เป็นเหลี่ยมมุมใดๆ เลยทั้งเครื่อง ตัวเครื่องดูโค้งมนกลมกลืนต่อกันเหมือนเป็นวัสดุชิ้นเดียว จึงไม่ใช่แค่รู้สึกถือจับกระชับมือ แต่ยังได้ความสวยงามในทุกมุมมอง
ฝาหลังนั้นปราณีตในการผลิต ที่มีการมาร์คจุด Mapping มากกว่า 2000 ตำแหน่ง เพื่อสร้างมิติในการขึ้นรูปกระจกแผ่นเดียวให้ขึ้นรูปนูนโค้ง โดยผ่านกระบวนการผลิตมากว่า 100 ขั้นตอน ใช้เวลาในการผลิตนานถึง 40 ชั่วโมง
สิ่งที่ประทับใจผมมากๆ ก็คือสีของเครื่อง ที่มีให้เลือก 2 สี ที่สื่อให้รู้สึกถึงอวกาศ เริ่มด้วยสี Gloss Black สีดำเงางามที่ให้แสงสะท้อนเหมือนเซรามิก ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแบบเคร่งขรึมลึกลับ
และสี Blue ที่เป็นสีตัวเครื่อง OPPO Find X3 Pro 5G ที่ทางทีมงานฯ เราได้รับมา พรีวิว เป็นสีฟ้าที่โดดเด่น ที่มีกระบวนการทำพื้นผิว 2 โทน คือตรงบริเวณโมดูลกล้อง และโลโก้ OPPO จะมีความมันวาว แต่ผิวสัมผัสจะเป็นการเคลือบด้วยวัสดุ Frost matte แบบด้าน ทำให้สัมผัสบนกระจกที่ได้ความนุ่มนวลเนียนมือราวกับผ้าไหม
พร้อมทั้งยังมากับคุณสมบัติป้องกันรอยเปื้อนและรอยนิ้วมือได้อย่างน่าทึ่ง ผมยกให้ฝาหลังของ OPPO Find X3 Pro 5G สี Blue เป็นรุ่นฝาหลังกระจกที่จับยังไงก็ไม่มีรอยนิ้วมืออย่างแท้จริง เพราะจับยังไงก็ไม่มีรอย จะมือมันๆ เหงื่อๆ หรือแนบหน้ามันๆ ก็ยังไม่ขึ้นคราบให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากๆ
การจัดเรียงของฝาหลัง โมดูลกล่องถูกวางไว้ที่มุมขวาบน โดยมีกล้องหลังทั้ง 4 ตัววางสลับกัน โดยมีไฟแฟลช LED และช่องไมโครโฟนเสริมอยู่ด้ว้ย
ด้านซ้าย ด้านขวา
เฟรมของเครื่องวัสดุเป็นอลูมิเนียมทำสีเข้ากับฝาหลัง มีความเงางามและให้สัมผัสแบบโลหะ ปุ่มด้านข้างทางขวา จะเป็นปุ่ม Power สำหรับเปิดเปิดหน้าจอ ส่วนทางซ้ายจะมีปุ่มปรับระดับ เพิ่ม-ลดเสียง
ด้านล่างจะมีช่องลำโพงเสียง, พอร์ต USB-C สำหรับเสียบสายชาร์จหรือโอนถ่ายข้อมูล, รูไมโครโฟนสนทนา และช่องของถาดซิม เป็นแบบ Dual Sim ใส่ได้ 2 ซิมขนาด Nano SIM ไม่สามารถเพิ่ม microSD ได้
ความบางตัวเครื่องถือว่าทำได้ดีมาก เพราะหนาเพียงแค่ 8.26 มิลลิเมตร ส่วนน้ำหนักก็ทำได้ดีด้วยเช่นกัน เพราะหนักแค่ 193 กรัมเท่านั้น ถือว่าเป็นความบางและเบากว่าสมาร์ทโฟนเรือธงทั่วไปที่มีในท้องตลาด พร้อมทั้งเครื่องยังประกอบกันน้ำกันฝุ่นได้ที่ IP68
หน้าจอดีไซน์เป็นขอบข้างโค้งรับกับเฟรมเครื่อง ให้พื้นที่ของหน้าจอเต็มถึง 92.7% มีเว้นตำแหน่งกล้องหน้าแบบ Punch Hole ที่มีขนาดเล็กมากๆ โดยตัวกล้องหน้าจะความละเอียด 32MP f/2.4 โดยจะมีระบบสแกนลายนิ้วมือซ่อนใต้หน้าจออยู่ด้วย และที่ขอบจอด้านบนจะเป็นลำโพงเสียงสนทนา ที่ทำงานคู่กับลำโพงตัวล่างเพื่อขับเสียงได้แบบสเตอริโอ
ประสิทธิภาพเปี่ยมล้น!
ส่องภายนอกเรียบร้อย มาดูสเปคภายใน ที่เรียกว่าจัดมาสมศักดิ์ศรีของสมาร์ทโฟนแฟลกชิป ด้วยชิปเซต Qualcomm Snapdragon 888 5G ที่เป็นชิปเซ็ตสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดของปี 2021 นี้ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับ 5 นาโนเมตร ทำให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ในความสามารถด้านการใช้พลังงานที่ลดลง ช่วยให้ใช้งานสมาร์ทโฟนต่อเนื่องได้นานยิ่งขึ้น ส่วน RAM นั้นใส่ให้มา 12GB พร้อมความจุภายใน 256GB แบบ UFS 3.1
เมื่อชิปเซ็ตแรง ก็จะมีระบบระบายความร้อนใส่มาให้ด้วย โดยภายในมีออกแบบแชมเบอร์ให้มีความบางพิเศษเพียง 0.35 มม. ตรงบริเวณเมนบอร์ดและแบตเตอรี่ เพื่อช่วยให้มีการสะสมความร้อนภายในเครื่องน้อยลง ให้ประสิทธิภาพในการทำงานราบรื่น
ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อเครือข่าย รุ่นนี้รองรับ 5G ได้แบบ Dual Mode ทั้ง NSA และ SA ได้ทั้ง 2 ซิม ใช้งานร่วมกับคลื่นความถี่ 5G ได้มากถึง 13 แบบ แน่นอนว่าพร้อมรองรับกับทุกเครือข่ายในประเทศไทย ใส่ซิมก็พร้อมใช้งาน 5G ได้ทันที
WiFi ในรุ่นนี้รองรับมาตรฐาน WiFi 6 ที่มีความเร็วและเสถียรของสัญญาณที่ดีขึ้น ทำให้ใช้งานเชื่อมต่อเครือข่ายในบ้านได้ไหลลื่นรวดเร็วกว่าเดิม
สิ่งที่ขาดไม่ได้กับสมาร์ทโฟนของ OPPO ก็คือเรื่องแบตเตอรี่และระบบชาร์จ OPPO Find X3 Pro 5G ใส่แบตเตอรี่มาให้ 4500 mAh ถือว่าค่อนข้างเยอะเลย และให้ระบบชาร์จเร็วเป็น 65W SuperVOOC 2.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ 40% ในเวลาเพียงแค่ 10 นาที
และยังมาพร้อมกับระบบชาร์จไร้สายแบบใหม่ 30W AirVOOC Wireless Flash Charge ที่ทำความเร็วในการชาร์จแบบไร้สายให้เต็ม 100% ได้ภายในแค่ 80 นาทีเท่านั้น เรียกว่าโทรศัพท์รุ่นอื่นเสียบสายชาร์จยังเต็มช้ากว่าเลย แถมยังมี 10W Reverse Wireless Charging สำหรับเอาหูฟังไร้สายหรืออุปกรณ์ต่างๆ มาวางชาร์จที่ด้านหลังเครื่องได้ด้วย
สรุป พรีวิว OPPO Find X3 Pro 5G
ผมมีโอกาสได้ลองสัมผัสลองใช้งานก่อนเป็นเวลาสั้น ดังนั้นในพรีวิวนี้เราจะยังไม่ลงลึกถึงฟีเจอร์และการใช้งานภายใน แต่ขอเล่าถึงความรู้สึกที่ได้ลองจับลองเล่นสั้นๆ นะครับ
- ดีไซน์สวยมากครับ ความละมุนโค้งมนทั้งเครื่องให้ความรู้สึกเวลาถือดีมากๆ ความนูนของกล้องหลังพอออกแบบให้มันนูนจึงดูแล้วมันนูนไม่เยอะ ผิวสัมผัสที่เคลือบ Frost matte คือตกหลุมรักเลย มันเนียนมือและไม่เกิดรอยนิ้วมือบนเครื่องเลยแม้แต่น้อย เป็นสมาร์ทโฟนฝาหลังกระจกที่ให้ความรู้สึกสัมผัสดีที่สุดเท่าที่เคยจับมาเลยครับ
- หน้าจอแสดงผลแบบ 10-Bit ให้ความรู้สึกของสีสันที่สดใสชัดเจน จอ Punch Hole เว้นรูกล้องไว้เล็กมากๆ ไม่เกะกะตา
- กล้องหลังถ่าย 10-Bit เก็บรายละเอียดสีสันได้ดีมาก และตอนนี้ OPPO ถ่ายไฟล์ RAW ได้แล้ว สามารถถ่ายแล้วเอาไปปรับแต่งเพิ่มได้เยอะกว่าเดิม รวมถึงวิดีโอ ก็ถ่ายแบบ Manual และบันทึกแบบ LOG เพื่อเอาไปเกรดสีต่อได้อีก ทำให้เอาไว้ใช้ถ่ายงานระดับจริงจังได้มากกว่าเดิม
- การทำงานรวดเร็วหายห่วง สมศักดิ์ศรี Snapdragon 888 เล่นเกมกราฟฟิคหนักๆ ได้ไหลลื่น
- ชาร์จเร็วไม่ทำให้ผิดหวัง รวดเร็วทันใจ และใส่ชาร์จไร้สายแบบใหม่มาให้ ที่เร็วเว่อร์วังมากๆ
พรีวิวนี้ ขอเล่าคร่าวๆ ตามที่ได้ลองสัมผัสสั้นๆ เรียกว่าค่อนข้างประทับใจมากๆ สำหรับรีวิวตัวเต็ม ติดตามกันได้เร็วๆ นี้ครับ
OPPO Find X3 Pro 5G Exclusive Blind Booking 1-17 มีนาคมนี้เท่านั้น
ตอนนี้สำหรับใครที่เป็นแฟน OPPO แล้วอยากได้ Find X3 Pro 5G มาครอบครองก่อนใคร ทางออปโป้จัดกิจกรรม Exclusive Blind Booking สั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม เวลา 13.00 น. ไปจนถึงวันที่ 17 มีนาคม 2564 เวลา 23.59 น. หลังจากนั้นทำการยืนยันสิทธิ์ทางอีเมล์ตั้งแต่วันที่ 18-23 มีนาคม
โดยจะได้รับเครื่องในวันที่ 27 มีนาคม 2564 ตั้งแต่ 10.00-17.00 น. ที่ ลาน Atrium 3 ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
โดยจะได้รับฟรีของสมนาคุณมูลค่ารวมถึง 19,497 บาท เอาล่ะ เพราะเป็นการป้ายยากระตุ้นให้คุณได้วู่วามไปจองกัน เราเอาของแถมทั้งหมดมายั่วทุกกัน
อย่างแรก กับ Premium Card การรับประกันพิเศษ ที่เปลี่ยนหน้าจอให้คุณฟรี 1 ครั้ง อุ่นใจไม่ต้องกลัวจอแตกไปตลอด 1 ปี
เพิ่มความเท่ไปอีกขั้น กับเคสแบบบาง ที่เป็นเคฟล่า (คาร์บอน) ที่บางและน้ำหนักเบา แต่มีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ
OPPO AirVOOC Wireless Charger 45W นี่คุ้มมาก เพราะตัวเครื่องรองรับระบบชาร์จไร้สายแบบเร็ว ก็ต้องใช้กับแท่นชาร์จไร้สายที่รองรับด้วย ตัวนี้ออกแบบมาให้คุณใช้งานพร้อมกับระบบระบายความร้อนระหว่างชาร์จได้ดียิ่งขึ้น
และอันนี้คืออีกเหตุผลที่คุณควรจะจองกันตั้งแต่ Exclusive Blind Booking เพราะออปโป้จะมอบเพิ่มเป็น OPPO Enco X ที่เป็นหูฟังไร้สายระดับไฮเอนด์สำหรับสมาร์ทโฟนระบบแอนดรอยด์ มาด้วยดีไซน์ที่สวมใส่ง่าย คุณภาพเสียงระดับ Hi-Fi ที่พัฒนาร่วมกับ Dynaudio รองรับ LHDC และ Hi-Res Audio Wireless ให้เสียงที่กระหึ่มชัดเจน
การใช้งานร่วมกับ OPPO Find X3 Pro 5G ใช้งานได้ง่าย แค่เปิดฝาก็สามารถเชื่อมต่อใช้งานได้ทันที ระบบเสียงมีการตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ 4 รูปแบบ ตามแต่สถานการณ์ที่ต้องการ โดยบังคับสั่งได้ด้วยการสัมผัสที่ตัวหูฟัง
นอกจากตัดเสียงที่ฟังแล้ว ไมโครโฟนก็ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้างด้วยไมค์ถึง 3 ตัวและระบบ AI ที่ช่วยให้เสียงสนทนามีความคมชัดมากขึ้น เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Bluetooth 5.2 ที่มีค่าความหน่วงน้อย เสียงที่ฟังมีความเสถียรและดีเลย์น้อย
แบตเตอรี่สามารถฟังต่อเนื่องได้ 4 ชั่วโมง และเสียบเก็บชาร์จกับเคส ทำให้ใช้ฟังได้นานสุดถึง 20 ชั่วโมง ส่วนตัวเคสสามารถชาร์จไฟแบบไร้สายได้ด้วย
เป็นของแถมในช่วงสั่งจองล่วงหน้าที่คุ้มมากๆ และช่วยให้ประสบการณ์ใช้งาน OPPO Find X3 Pro 5G สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น สำหรับใครที่ต้องการจอง อย่าได้ใจเย็น ดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/3r8gJCO