IBM

IBM โชว์ศักยภาพไฮบริดคลาวด์ และ AI ช่วยเร่งเครื่ององค์กรสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน

IBM ประกาศความก้าวล้ำด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ไฮบริดคลาวด์ และควอนตัม คอมพิวติ้ง ในงาน Think ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปีของบริษัทฯ นวัตกรรมเหล่านี้ตอกย้ำถึงบทบาทของไอบีเอ็มในการเข้าช่วยลูกค้าและพาร์ทเนอร์เร่งเครื่องสู่ก้าวย่างดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และสร้างอิโคซิสเต็มเชิงกลยุทธ์ที่จะช่วยขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่ดีขึ้นให้กับธุรกิจ

“เราจะมองย้อนกลับมายังปีนี้และปีที่แล้ว ว่าเป็นช่วงเวลาที่โลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษแห่งดิจิทัลอย่างเต็มตัว ” นายอาร์วินด์ กฤษณะ ประธานและซีอีโอของไอบีเอ็มกล่าว “ในศตวรรษที่ 21 นี้ เราจะใช้ไฮบริดคลาวด์และผสานเอไอเข้ากับซอฟต์แวร์และระบบต่างๆ ในแบบเดียวกับที่เราต่อไฟฟ้าเข้าไปยังโรงงานและเครื่องจักรในศตวรรษที่ผ่านมา และสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ อนาคตข้างหน้าจะต้องถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความร่วมมือเชิงลึกในมุมอุตสาหกรรม ซึ่งไม่มีใครที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีกว่าไอบีเอ็ม และนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ไอบีเอ็มเร่งการลงทุนในอิโคซิสเต็มพาร์ทเนอร์เต็มที่ นอกจากนี้ ในงาน Think 2021 ไอบีเอ็มยังได้เปิดเผยถึงนวัตกรรมไฮบริดคลาวด์และเอไอล่าสุด ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่เป็นพื้นฐานของสถาปัตยกรรมทางไอทีรูปแบบใหม่ของธุรกิจต่อไป”

ไอบีเอ็มทุ่มเทกับไฮบริดคลาวด์และเอไอเต็มที่เพราะทราบดีว่าธุรกิจต่างๆ ต้องการแนวทางที่ชัดเจนและเชื่อถือได้ในก้าวย่างของการปรับระบบ mission-critical ต่างๆ ให้มีความทันสมัย ผลการศึกษาล่าสุดของไอบีเอ็มเกี่ยวกับการนำเอไอเข้ามาใช้ในธุรกิจชี้ให้เห็นว่าความจำเป็นในการผสานเอไอเข้าสู่กระบวนการทางธุรกิจต่างๆ ถูกเร่งให้กลายเป็นความจำเป็นเร่งด่วนในช่วงของการแพร่ระบาด โดยผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่สำรวจ 43% ระบุว่าองค์กรของตนได้เร่งการนำเอไอมาใช้ ขณะที่เกือบครึ่งระบุว่าเหตุผลหลักในการตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการด้านเอไอ คือการเลือกจากความสามารถในการทำออโตเมชันกระบวนการต่างๆ และนี่คือสาเหตุที่ไอบีเอ็มลงทุนเต็มที่ในการสร้างความสามารถที่ครอบคลุมและทรงพลังให้กับเอไอสำหรับธุรกิจ

วันนี้ไอบีเอ็มช่วยลูกค้าหลายพันรายในทุกอุตสาหกรรมในการทรานส์ฟอร์มธุรกิจด้วยพลังของแพลตฟอร์มไฮบริดคลาวด์และเอไอ ด้วยนวัตกรรมที่ได้รับการออกแบบสำหรับธุรกิจเพื่อรองรับก้าวต่อไปของเส้นทางดิจิทัล

ความสามารถใหม่ที่ผสานศักยภาพของข้อมูลและเอไอเข้าด้วยกัน

  • เอไอจะเข้ามาช่วยให้การเข้าถึง รวมกลุ่ม และบริหารจัดการข้อมูล ทำจากที่ไหนก็ได้โดยอัตโนมัติ ผ่าน Cloud Pak for Data: ความสามารถใหม่ของ Cloud Pak for Data ที่ใช้เอไอเข้ามาช่วยให้ลูกค้าได้รับคำตอบจากคำถามกว่าเดิมถึงแปดเท่า ด้วยค่าใช้จ่ายเพียงเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับโซลูชัน data warehouse ที่นำมาเปรียบเทียบ โดย AutoSQL(Structured Query Language) นี้ จะช่วยออโตเมทการเข้าถึง ผนวกรวม และบริหารจัดการข้อมูลของลูกค้า โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายข้อมูล ไม่ว่าข้อมูลจะถูกจัดเก็บอยู่ที่ใด ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาสำคัญที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ เมื่อต้องเลือกข้อมูลสำหรับเอไอ ขณะที่ต้องลดค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายข้อมูลที่ค่อนข้างสูงไปพร้อมๆ กัน ช่วยให้ลูกค้าได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีความถูกต้องยิ่งขึ้นจากการคาดการณ์ด้วยเอไอ โดย AutoSQLที่เปิดตัวในครั้งนี้ จะมาพร้อมกับ IBM Cloud Pak for Data ที่มีระบบ data warehouse ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในตลาด (ผลจากการศึกษาเปรียบเทียบโดยไอบีเอ็ม)ที่สามารถทำงานได้อย่างไร้รอยต่อบนทุกสภาพแวดล้อม hybrid multi-cloud ไม่ว่าจะเป็น private cloud ระบบ on-premise ที่อยู่ภายในองค์กร หรือบน public cloud ทั่วไป AutoSQL จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีใหม่ที่ผสานเข้ากับฟีเจอร์ดาต้าแฟบริคอัจฉริยะใหม่บน Cloud Pak for Data ที่จะช่วยออโตเมทการบริหารจัดการข้อมูลที่ซับซ้อน ด้วยการใช้เอไอเข้ามาช่วยในการค้นหา ทำความเข้าใจ เข้าถึง และปกป้องข้อมูลแบบกระจายที่อยู่บนสภาพแวดล้อมต่างๆ พร้อมทั้งรวมแหล่งข้อมูลต่างๆ ไว้บนพื้นฐานข้อมูลเดียวกัน ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 5 เรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ Cloud Pak for Data และ Data Fabricใหม่
  • Watson Orchestrate ช่วยออโตเมทงานต่างๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: Watson Orchestrate เป็นหนึ่งในความสามารถใหม่ด้านเอไอที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับทีมต่างๆ ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นทีมขาย ทีมทรัพยากรบุคคล ทีมปฏิบัติการ ฯลฯ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีทักษะด้านไอที ทีมต่างๆ ในองค์กรสามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ผ่านอีเมลหรือแชทแอพอย่าง Slack โดยระบบยังสามารถเชื่อมต่อกับแอพธุรกิจอย่าง Salesforce, SAP และ Workdayได้ Watson Orchestrate ใช้เอนจิ้นเอไอที่ทรงพลังในการเลือกและจัดลำดับชุดทักษะที่ต้องใช้ในงานแต่ละชนิดโดยอัตโนมัติ พร้อมเชื่อมต่อกับแอพ เครื่องมือ ข้อมูล หรือข้อมูลย้อนหลังต่างๆ ไปด้วยในขณะเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานที่เป็นกิจวัตรซ้ำๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการนัดประชุม การอนุมัติ หรือแม้แต่งานที่สำคัญอย่างการเตรียมโครงการนำเสนอหรือแผนธุรกิจต่างๆ เป็นการช่วยประหยัดเวลาในการทำงานต่างๆ Watson Orchestrate ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยไอบีเอ็ม และเปิดให้ใช้บริการได้แล้วผ่าน IBM Automation Cloud Pak ก่อนที่จะเปิดให้ใช้ในวงกว้างต่อไปภายในปีนี้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่5 เรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ Watson Orchestrate
  • Maximo Mobile พลิกรูปแบบการทำงานของช่างเทคนิคที่ต้องลงพื้นที่จริง: ไอบีเอ็มเปิดตัว Maximo Mobile แพลตฟอร์มโมบายล์ที่เปิดใช้งานได้ง่ายๆ โดยมีโซลูชันบริหารจัดการทรัพย์สินชั้นนำอย่าง Maximo ของไอบีเอ็มเป็นหัวใจหลัก Maximo Mobile ได้รับการออกแบบมาสำหรับช่างเทคนิคที่ต้องทำงานในพื้นที่จริงอย่างถนน สะพาน ไลน์การผลิต โรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน เพื่อซ่อมแซมอุปกรณ์หรือทรัพย์สินต่างๆ โดยใช้ Watson AI ร่วมกับข้อมูลองค์กรเชิงลึก ในการดึงข้อมูลการปฏิบัติการของแต่ละอุปกรณ์ให้แก่ช่างทันทีที่ช่างต้องการ เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อน แม้เมื่ออยู่ในพื้นที่ห่างไกล การผนวกความสามารถอันทรงพลังของเอไอ เวิร์คโฟลวอัจฉริยะ ระบบช่วยเหลือระยะไกล และดิจิทัลทวินเข้าด้วยกัน ช่วยให้ช่างสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ที่สั่งสมมานานนับทศวรรษได้ง่ายๆ ทันที นำสู่การปฏิบัติงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่วิดีโอ Empowering the Technician of the Future with Maximo Mobile

ศักยภาพใหม่ของเอไอกับการยกระดับการพัฒนาและใช้งานระบบไอทีและแอพใหม่ๆ

  • โครงการชุดข้อมูล CodeNet ยกระดับความสามารถของเอไอในการเข้าใจและแปลโค้ด: ศูนย์วิจัยไอบีเอ็มได้เปิดตัวโครงการ CodeNet ซึ่งเป็นชุดข้อมูลโอเพนซอร์สขนาดใหญ่ที่มีตัวอย่างโค้ดถึง 14 ล้านชุด รวมแล้ว 500 ล้านบรรทัด ในภาษาโปรแกรมที่แตกต่างกันไปกว่า 55 ภาษา ซึ่งนับเป็นชุดข้อมูลที่ใหญ่และมีความหลากหลายมากที่สุด โดยมุ่งแก้สามปัญหาหลักของการเขียนโค้ดในปัจจุบัน ประกอบด้วย การค้นหาโค้ด (สามารถแปลงโค้ดจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่งให้อัตโนมัติ แม้แต่ภาษาเลกาซีอย่าง COBOL) การเปรียบเทียบความเหมือน/แตกต่างของโค้ด (สามารถระบุความคล้ายคลึงหรือแตกต่างของโค้ดในภาษาต่างๆ ได้) และข้อจำกัดด้านโค้ด (สามารถปรับ constraint ต่างๆ ได้โดยอิงจากความต้องการและพารามิเตอร์ของนักพัฒนา) ไอบีเอ็มเชื่อมันว่า CodeNet จะเป็นเกณฑ์มาตรฐานของชุดข้อมูลสำหรับการแปลงภาษาและการเปลี่ยนผ่านจากโค้ดแบบเลกาซีสู่ภาษาโค้ดที่มีความเป็นปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเร่งการพัฒนาแอพด้านเอไอได้ต่อไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บล็อก Kickstarting AI for Code: Introducing Project CodeNet
  • Mono2Micro ช่วยลดภาระปวดหัวในการทำ Cloud Migration: ไอบีเอ็มได้เพิ่มความสามารถใหม่ให้กับ WebSphere Hybrid Editionที่ช่วยให้องค์กรสามารถ optimize และ modernize แอพต่างๆ เพื่อรองรับไฮบริดคลาวด์ Mono2Micro ใช้เอไอที่ก้าวล้ำที่พัฒนาโดยศูนย์วิจัยไอบีเอ็ม ในการวิเคราะห์แอพขององค์กรที่มีจำนวนมาก พร้อมให้คำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับการย้ายแอพเหล่านั้นไปยังคลาวด์ ซึ่งช่วงทำให้กระบวนการที่เกิดการผิดพลาดได้ง่ายเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็วขึ้น ช่วยลดต้นทุนและเพิ่ม ROI ให้กับองค์กร Mono2Micro เป็นหนึ่งในชุดผลิตภัณฑ์และบริการบนพื้นฐานของเอไอของไอบีเอ็มที่จะช่วยติดสปีดให้กับการไมเกรทสู่คลาวด์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บล็อก IBM Mono2Micro: สามสิ่งที่ต้องรู้

แบรนด์ชั้นนำเลือกใช้โซลูชันไฮบริดคลาวด์และเอไอของไอบีเอ็ม

  • IBM Watson Assistant เบื้องหลังสนับสนุนการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโควิดของ CVS Health: ปัจจุบันไอบีเอ็มกำลังร่วมมือกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพชั้นนำอย่าง CVS Health ในการช่วยบริษัทเฮลธ์แคร์ต่างๆ รับมือกับปริมาณสายเรียกเข้าที่พุ่งสูงขึ้นถึงสิบเท่า หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้เปิดตัวโปรแกรมวัคซีนโควิด-19 โดยไอบีเอ็ม โกลบอล เซอร์วิสเซส หรือ GBS และ CVS Health ได้ร่วมกันพัฒนาโซลูชันสำหรับงานดูแลลูกค้าด้วย IBM Watson Assistant บน IBM Public Cloud ภายในระยะเวลาเพียงสี่สัปดาห์ การผสานเอไอและการประมวลผลภาษาธรรมชาติเข้ากับเวิร์คโฟลวของระบบโทรศัพท์ของทีมงานดูแลลูกค้า ทำให้ CVS สามารถตอบคำถามตั้งแต่เรื่องการเทสต์โควิด-19 ไปจนถึงการฉีดวัคซีน หลักฐานการฉีดวัคซีน ค่าใช้จ่าย ฯลฯ ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถหันไปรับมือกับคำถามที่มีความซับซ้อนมากกว่าแทน นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มความสามารถให้เจ้าหน้าที่เวอร์ชวลสามารถดึงข้อมูลและให้คำตอบโดยอิงจากสถานะของการฉีดวัคซีนที่แตกต่างกันออกไปใน 50 รัฐทั่วประเทศ นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อต้นเดือนมกราคม เจ้าหน้าที่เวอร์ชวลได้รับมือสายที่โทรเข้ามาแล้วกว่าล้านสาย โดยที่ส่วนใหญ่ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่บุคคลเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการพูดคุยกับแต่ละสายลงได้อย่างเห็นได้ชัด
  • อีวายและไอบีเอ็มจับมือสร้าง Financial Services Center of Excellence สำหรับไฮบริดคลาวด์: อีวายและไอบีเอ็มร่วมกันจัดตั้ง Center of Excellence ที่ให้บริการโซลูชันไฮบริดคลาวด์แบบโอเพน ที่พัฒนาขึ้นบน Red Hat OpenShift สำหรับ IBM Cloud for Financial Services โดยโซลูชันต่างๆ จะเน้นที่การปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับกฎข้อบังคับที่กำกับดูแลอยู่ ความน่าเชื่อถือของดิจิทัลและซิเคียวริตี้ ถือเป็นการผนึกเทคโนโลยีของไอบีเอ็มเข้ากับประสบการณ์ของอีวายในการช่วยสถาบันการเงินต่างๆ เร่งเครื่องดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและเพิ่มการใช้คลาวด์ โดยศูนย์ฯ ดังกล่าวได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์ความต้องการของสถาบันการเงินที่เฉพาะเจาะจงและปรับเปลี่ยนเป็นระยะในช่วงของการเปลี่ยนผ่านสู่คลาวด์และการทรานส์ฟอร์มกระบวนการทางธุรกิจต่างๆ ดูข้อมูลเพิ่มเติมและอ่านประกาศจากอีวายได้ที่อีวายและไอบีเอ็มประกาศสร้าง Center of Excellence เร่งเครื่องดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันสถาบันบริการทางการเงิน

การลงทุนในพาร์ทเนอร์อิโคซิสเต็มอย่างต่อนื่อง

  • สิทธิประโยชน์ใหม่ๆ เพื่อช่วยสร้างความสำเร็จให้กับพาร์ทเนอร์: ภายใต้การลงทุน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสนับสนุนพาร์ทเนอร์อิโคซิสเต็มไอบีเอ็มได้เปิดตัวชุดองค์ความรู้ การพัฒนาทักษะ และสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ที่จะช่วยให้พาร์ทเนอร์ประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง เช่น ไอบีเอ็มได้สร้าง competency framework ใหม่เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญ ทักษะเชิงเทคนิค และแนวทางการขายให้ประสบความสำเร็จให้แก่พาร์ทเนอร์ โดยเน้นด้านโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดคลาวด์ ออโตเมชัน และซิเคียวริตี้ ปัจจุบัน ทาทา คอนซัลแทนซี เซอร์วิสเซส (TCS) ซึ่งเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ของไอบีเอ็ม ได้ประสบความสำเร็จในการนำองค์ความรู้เหล่านี้มาพัฒนาเป็นโซลูชันเอไอสำหรับอุตสาหกรรมและการผลิตสำหรับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักพัฒนาด้านเอไอ นอกจากนี้ไอบีเอ็มยังได้ขยาย Cloud Engagement Fund (CEF) ให้ครอบคลุมพาร์ทเนอร์ทุกประเภท เพื่อเพิ่มทรัพยากรด้านเทคนิคและคลาวด์เครดิตให้กับพาร์ทเนอร์ที่ต้องเข้าไปช่วยลูกค้าไมเกรทเวิร์คโหลดสู่สภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ ความร่วมมือระหว่างไอบีเอ็มกับ Siemens Digital Industries Softwareคือหนึ่งในตัวอย่างที่ CEF เข้าไปมีส่วนช่วยให้พาร์ทเนอร์สามารถสเกลได้ โดยภายใต้โครงการดังกล่าว ซีเมนส์จะใช้แนวทางไฮบริดคลาวด์แบบโอเพนของไอบีเอ็ม ที่สร้างขึ้นบน Red Hat OpenShift ในการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับการใช้งาน MindSphere ซึ่งเป็นโซลูชัน IoT-as-a-service สำหรับอุตสาหกรรมของซีเมนส์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บล็อกIBM Announces New Benefits to Drive Partner Success as Ecosystem Momentum Accelerates

ไอบีเอ็มผลักดันควอนตัมคอมพิวติ้งให้เข้าใกล้การใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้น

  • ซอฟต์แวร์ Qiskit Runtime ช่วยเร่งความเร็วการประมวลผล Quantum Circuit ถึง 120 เท่า: ไอบีเอ็มได้ทำให้การใช้ซอฟต์แวร์ควอนตัมเป็นเรื่องง่ายขึ้นสำหรับนักพัฒนา ด้วย Qiskit Runtime ที่เป็นรูปแบบคอนเทนเนอร์และโฮสต์อยู่บนไฮบริดคลาวด์ แทนที่จะต้องรันโค้ดบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ การเพิ่มศักยภาพทั้งด้านซอฟต์แวร์และพลังการประมวลผลทำให้ Qiskit Runtime สามารถเร่งความเร็วของ quantum circuits ที่ถือเป็นอุปสรรคของอัลกอริธึมควอนตัมในปัจจุบัน ได้ถึง 120 เท่า Qiskit เป็นเฟรมเวิร์คโอเพนซอร์สสำหรับควอนตัมคอมพิวติ้งที่ไอบีเอ็มได้พัฒนาขึ้นสำหรับชุมชนนักพัฒนาทั่วโลก เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงควอนตัมคอมพิวติ้งได้ Qiskit Runtime จะช่วยให้ระบบควอนตัมสามารถรันการคำนวณที่ซับซ้อนอย่างโมเดลทางเคมีหรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินได้ในไม่กี่ชั่วโมง แทนที่จะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ ที่ผ่านมาไอบีเอ็มได้โชว์ศักยภาพของ Qiskit Runtime ผ่านการโมเดล lithium hydride molecule (LiH) ซึ่งสามารถทำบนอุปกรณ์ควอนตัมได้ภายในเก้าชั่วโมง จากเดิมที่ต้องใช้เวลา 45 วัน ก้าวย่างการพัฒนาเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยสเกลการประมวลผลควอนตัมไปสู่รูปแบบการใช้งานใหม่ๆ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บล็อก IBM Quantum Delivers 120x speedup of quantum workloads with Qiskit Runtime

การประกาศต่างๆ ที่เกิดขึ้นในงาน Think มีขึ้นหลังจากการเผยโฉมชิป 2 นาโนเมตรตัวแรกของโลก ที่จะช่วยให้การประมวลผลตั้งแต่ที่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงเอ็ดจ์เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น, การเปิดตัว Cloud Engineซึ่งเป็นแพลตฟอร์มฟรอนท์เอนด์ที่จจะช่วยให้นักพัฒนาสามารถ deploy แอพ cloud-native ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องมีทักษะเหล่านั้น และไม่ต้องปวดหัวกับการกำหนดค่าโค้ดที่มีความซับซ้อน, การเปิดตัว Spectrum Fusionซึ่งเป็นเวอร์ชัน container แบบเต็มตัวของซอฟต์แวร์ด้านสตอเรจและการปกป้องข้อมูลของไอบีเอ็ม ที่ได้รับการออกแบบมาให้ช่วย streamline การจัดการข้อมูลทั่วทั้งองค์กร, รวมถึงการจับมือระหว่างไอบีเอ็มกับ Zscaler ในด้าน Zero Trustที่จะช่วยผนวกรวมเทคโนโลยีซิเคียวริตี้ของ Zscaler เข้ากับความเชี่ยวชาญในการให้บริการด้านซิเคียวริตี้ของไอบีเอ็ม เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้แนวทาง secure access service edge (SASE) ได้แบบ end-to-end นำสู่ระบบซิเคียวริตี้และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น