ตั้งแต่ Apple เปิดให้ใช้งานจริงระบบปฏิบัติการ iOS 14.5 เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา มีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ App Tracking Transparency (ATT) ของ Apple แล้วพบว่าผู้ใช้ iPhone ส่วนใหญ่ปิดไม่ให้แอปและเว็บไซต์ต่างๆ ทำการ ติดตามข้อมูล ส่วนตัวของผู้ใช้ (disabled tracking)
ข้อมูลล่าสุดจากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Flurry พบว่ามีเพียง 4% ของผู้ใช้งาน iPhone ในสหรัฐอเมริกาที่เปิดให้แอปมีการติดตามหลังอัปเดตเป็น iOS 14.5 โดยข้อมูลดังกล่าวได้จากการสุ่มตัวอย่างของผู้ใช้ที่ใช้งานบนมือถือ 2.5 ล้านคนต่อวัน
เมื่อมองดูไปที่ผู้ใช้งานทั่วโลกพบว่า มีผู้ใช้ที่อนุญาตให้แอปติดตามเพิ่มขึ้นเป็น 12% ของกลุ่มตัวอย่าง 5.3 ล้านคน
การมาของระบบปฏิบัติการ iOS 14.5 นั้น แอปต้องขอและได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ก่อนจึงสามารถเข้าถึงตัวระบุโฆษณาแบบสุ่ม (random advertising identifier) ของอุปกรณ์เพื่อติดตามกิจกรรมและข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้ทั้งในแอปและเว็บไซต์ โดยผู้ใช้สามารถเลือกที่จะเปิดหรือปิดความสามารถในการติดตามของแอปได้ ที่สำคัญ ค่าตั้งต้นของ Apple นั้นตั้งอยู่ที่ปิดการติดตามตั้งแต่แรก
หลังจากนั้น มีการอัปเดตข้อมูลเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ตัวเลขของ Flurry แสดงให้เห็นถึงอัตราการเลือกปิดไม่ให้แอปทำการติดตามทั่วโลกนั้นคงที่อยู่ที่ประมาณ 11-13% และ 2-5% เฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ล่าสุด Facebook ที่ดูจะไม่ปลื้มกับการมาของ ATT เท่าไหร่นัก ได้พยายามโน้มน้าวผู้ใช้งานให้เปิดการติดตามใน iOS 14.5 หากต้องการใช้งาน Facebook และ Instagram แบบไม่มีค่าใช้จ่ายต่อไป การกระทำดังกล่าวดูเหมือนจะขัดกับสิ่งที่ Facebook อ้างก่อนหน้านี้ ที่บอกว่า ATT จะมีผลกระทบต่อธุรกิจที่พวกเขานั้น “จัดการได้” และอาจเป็นประโยชน์ต่อ Facebook ในระยะยาว
หากผู้ใช้งานเลือกที่จะปิดไม่ให้แอปทำการติดตามข้อมูลและการใช้งานมากขนาดนี้ คงต้องมาดูกันว่า Facebook และแอปต่างๆ ที่เน้นการใช้ข้อมูลของผู้ใช้เพื่อนำมาปรับโฆษณาให้เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นนั้นจะทำอย่างไรกันต่อไป