Toyota Motor Corp จะเข้าซื้อหน่วยเทคโนโลยีขับขี่ด้วยตัวเองของ Lyft Inc ในมูลค่า 550 ล้านดอลลาร์เพื่อเข้าไปเสริมและพัฒนาเกี่ยวกับระบบอัตโนมัติของแผนก Woven Planet ที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยการซื้อหน่วยเทคโนโลยีในครั้งนี้จะช่วยให้ Toyota ได้พนักงานกว่า 300 คนที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบขับขี่อัตโนมัติของบริษัทที่ทำเกี่ยวกับรถโดยสารในสหรัฐฯมาด้วย
นอกจากนี้ ดีลการเข้าซื้อเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 5 ยังช่วยให้ Toyota มีส่วนร่วมโดยตรงในซิลิคอนวัลลเลย์ , ลอนดอน และสามารถขยายโครงการเมืองอัจฉริยะ Woven City ที่ตั้งอยู่ที่ภูเขาฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น
ส่วนประโยชน์ที่ Lyft Inc จะได้ประโยชน์จากดีลนี้คื อบริษัทสามารถทำกำไรได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดภาระและความเสี่ยงในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ต้นทุนราคาสูงที่ยังไม่เป็นเทคโนโลยีกระแสหลัก
นอกจากนี้การขายส่วนเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติให้กับ Toyota จะช่วยให้ Lyft ลดจำนวนธุรกิจที่ต้องใช้เงินสด สามารถกลับไปโฟกัสและฟื้นฟูกิจการหลักของพวกเขาได้หลังจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
James Kuffner ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Woven Planet กล่าวว่า บริษัทก่อตั้ง Woven Planet ขึ้นมาในเดือนมกราคมที่ผ่านมาโดยมีความตั้งใจที่จะลงทุนและพัฒนาทีมต่อไป แต่ Kuffner ไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องไทม์ไลน์รวมถึงเรื่องแผนการซื้อกิจการในอนาคต
ทางด้าน Takaki Nakanishi นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมยานยนต์และผู้บริหารระดับสูงของ Nakanishi Research Institute กล่าวถึงดีลนี้ว่า มันเป็นการขยายความร่วมมือ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพเรื่องเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยตัวเองที่จะช่วยให้ Toyota นั้นใกล้การบรรลุเป้าหมายเข้าไปอีก ปัจจุบัน Toyota นำเสนอระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 2 พร้อมเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ระดับสูง อีกทั้งยังมีโปรเจคเกี่ยวกับการขับเคลื่อนด้วยตัวเองอื่นๆ อีกมาก
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Toyota กล่าวว่าจะพัฒนาและผลิตรถมินิแวนสำหรับเครือข่ายรถโดยสารกับทาง Aurora และซัพพลายเออร์เจ้าดังอย่าง Denso Corp
ข้อตกลงในครั้งนี้ Lyft จะได้รับเงินสดไปก่อนล่วงหน้า 200 ล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือ 350 ล้านดอลลาร์จะทยอยจ่ายเป็นเวลา 5 ปี อย่างไรก็ตาม Lyft ยังไม่แสดงความเห็นว่าพวกเขามีแผนอย่างไรกับเงินที่ได้มา แต่ที่แน่ๆ คือการขายส่วนเทคโนโลยีในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทรายงานผลกำไรในไตรมาสที่ 3 ตามเกณฑ์ที่ปรับปรุงแล้วของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและการตัดจำหน่าย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากผลกระทบที่ได้รับจากวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่สำคัญ การขายส่วนเทคโนโลยีดังกล่าวออกไปจะช่วยให้ต้นทุนในการดำเนินงานสุทธิของบริษัทประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปีนั้นหมดไป
Lyft กล่าวว่าหลังจากนี้ บริษัทจะโฟกัสไปที่สิ่งที่บริษัททำได้ดีและถนัดที่สุดกับยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยการนำเสนอบรการต่างๆ เช่น การกำหนดเส้นทาง , การจัดการและประสานงานกับลูกค้า และการทำความสะอาดยานยนต์อัตโนมัติของพาร์ทเนอร์บริษัท โดยบริการเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ท้ายสุด Lyft ยังเชื่อว่าคนขับรถที่เป็นมนุษย์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการให้บริการลูกค้าในอนาคตอยู่ และเชื่อว่าคนขับรถที่เป็นมนุษย์จะยังมีปริมาณความต้องการที่สูง ในสถานการณ์ เช่น สภาพอากาศที่เลวร้าย ผู้โดยสารไม่รู้จักสถานที่/ทางไป หรือต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองไม่สามารถนำทางไปได้
ที่มา : REUTERS