บทความและบทสัมภาษณ์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ส์ Behind the Desk ที่ทาง CNBC ต้องการเข้าถึงเรื่องราวส่วนตัวของผู้บริหารธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเพื่อค้นหาทุกสิ่ง เริ่มตั้งแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขามาถึงยังจุดๆ นี้ได้ ไปจนถึงเรื่องส่วนตัว ตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงกิจวัตรประจำวันของพวกเขา และผู้บริหารที่เราจะได้อ่านเรื่องราวของเขาก็คือ James Park แห่ง Fitbit
James Park ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Fitbit โดยใช้เวลาปั้นและอุทิศเวลาให้กับ Fitbit มานานถึง 14 ปี ก่อนที่ Google จะเข้าซื้อกิจการดังกล่าวในเดือนพฤศจิกายน 2019 ด้วยมูลค่าที่สูงถึง 2.1 พันล้านดอลลาร์
ถึงแม้เขาจะเป็นซีอีโอบริษัทที่ทำเกี่ยวกับอุปกรณ์ wearable ที่ใช้สำหรับติดตามกิจกรรมเพื่อให้ผู้ใช้บันทึกการออกกำลังกายของพวกเขา ให้ผู้ใช้งานมีสุขภาพและรูปร่างที่ดี แต่การทำงานในบริษัทสตาร์ทอัพเป็นเวลานานๆ กลับเป็นอะไรที่ยากสำหรับตัวเขาเองที่จะมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี
โชคดีหน่อยที่ตอนนี้ James Park วัย 44 ปี ใช้ช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 และตัวเขาต้องทำงานอยู่บ้านเพื่อพัฒนากิจวัตรการออกกำลังกายที่ยั่งยืนของตัวเขาเอง การได้อยู่กับบ้านและทำงานที่บ้านช่วยให้เขามีเวลาออกกำลังกายมากขึ้นในระหว่างวัน รวมถึงได้ไตร่ตรองกับอาหารที่เขากินเข้าไปด้วย ช่วยให้เขาปรับสมดุลชีวิตได้ดีขึ้น
แรกเริ่ม พ่อแม่ของ James Park อพยพจากเกาหลีใต้มายังสหรัฐอเมริกา โดยท่านเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กหลายอย่างในสหรัฐฯ เช่น ร้านวิกผม ร้านไอศกรีม และร้านเสื้อผ้า James เติบโตขึ้นในเมืองคลีฟแลนด์และแอตแลนต้า และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ร้านของพ่อแม่หลังเลิกเรียน จึงได้รับอิทธิพลจากการทำงานอย่างหนักของพ่อแม่
ในปี 1998 James Park ลาออกจากมหาวิทยาลัย Harvard เพื่อเปิดกิจการของตัวเอง ธุรกิจแรกของเขาเป็นบริษัทซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานแบบ B2B ชื่อ Epesi Technology ที่ปัจจุบันมันได้ปิดตัวลงไปแล้ว James กล่าวว่าสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทคือเขาสามารถนำเสนอสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวออกมาให้เป็นรูปเป็นร่าง นี่เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในปี 2006 James Park เกิดหลงใหลและคลั่งไคล้ Nintendo Wii เข้าสุดๆ เพราะมันเป็นเกมที่มีระบบสนับสนุนการออกกำลังกายที่มาพร้อมคอนโทรลเลอร์ที่ใช้เซ็นเซอร์ accelerometers และมีซอฟต์แวร์ที่สามารถติดตามการเคลื่อนไหวได้แบบเรียลไทม์ ด้วยเหตุนี้เขาและ Eric Friedman (ผู้ร่วมก่อตั้ง Fitbit) จึงคิดขึ้นมาว่า เขาจะจับเจ้าสิ่งๆ นี้มาใส่ไว้ในอุปกรณ์แบบพกพาได้อย่างไร และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นและจุดกำเนิดไอเดียที่ใช้พัฒนาอุปกรณ์ Fitbit
จากนั้น James และ Eric ได้ระดมเงินทุนจำนวน 400,000 ดอลลาร์จากครอบครัวและเพื่อนฝูงเพื่อเริ่มพัฒนาต้นแบบของ Fitbit และในที่สุดพวกเขาได้เปิดตัวอุปกรณ์ในงานประชุมสตาร์ทอัพของ TechCrunch ในปี 2008 แต่ต้องใช้เวลารอถึง 8 เดือนกว่าจะมีฮาร์ดแวร์ที่พร้อมสำหรับการผลิต
น่าเสียดายที่ ณ เวลานั้น นักลงทุนยังไม่ให้ความสนใจ Fitbit มากนัก ด้วยความที่เทคโนโลยี wearable ยังใหม่มากสำหรับตอนนั้น ทำให้ Fitbit ระดมทุนรอบแรกในปี 2008 ได้ไป 2 ล้านดอลลาร์จาก True Ventures และ SoftTech VC และข้อมูลจาก crunchbase เผยว่า Fitbit สามารถระดมทุนได้โดยรวมทั้งหมดไป 66 ล้านดอลลาร์ใน 4 รอบการระดมทุน
และในที่สุด Google ได้เข้าซื้อกิจการ Fitbit ในปี 2019 ข้อตกลงการซื้อกิจการสิ้นสุดลงในเดือนมกราคม 2021
ปัจจุบัน Fitbit มีผู้ใช้งานมากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลกและมียอดขายมากกว่า 120 ล้านเครื่อง
สิ่งที่เขาได้จากการมองเห็นพ่อแม่ที่ทำงานอย่างหนัก
พ่อแม่ของ James Park เป็นเจ้าของร้านค้าหลายประเภท เช่น ร้านวิกผม ตลาดปลา ร้านไอศกรีม ร้านซักรีด และร้านชุดกีฬา เป็นต้น ซึ่งตัว James เองก็ไม่เข้าใจว่าพ่อแม่เลือกสินค้าเหล่านี้มาขายยังไง ใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกสินค้า แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขารู้สึกทึ่งเมื่อเห็นว่าพ่อและแม่ของเขาทำงานหนักแค่ไหน โดยเขามักจะอยู่ที่ร้านค้าของพ่อแม่หลังเลิกเรียน James เริ่มขายของในร้านตั้งแต่เรียนมัธยม โดยจะได้รับเงินตอบแทน 1 ดอลลาร์ หากเขาขายของได้เกิน 50 ดอลลาร์ และการทำงานอย่างหนักนี่เองอาจเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาเรียนรู้มากจากพ่อแม่อยู่ตลอดเวลาที่เขาโตขึ้นมา
ลาออกจาก Harvard ทั้งๆที่พ่อแม่อยากให้เขาเป็นหมอ
พ่อแม่อยากให้ James เป็นหมอ ในตอนนั้น เขาไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วตัวเขาเองอยากเป็นอะไร/อยากทำอะไรจนได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในช่วงปีแรก ความสนใจและความอยากเป็นหมอของ James นั้นลดลงเหลือศูนย์ และเขาพยายามคิดต่อไปว่าเขาจะทำอะไรดี
ในช่วงซัมเมอร์ตอนปี 3 เขาฝึกงานที่ธนาคารแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ซึ่งเขารู้สึกได้เลยว่างานแบบนี้ไม่เหมาะกับเขาเลย แต่ ณ เวลานั้นเป็นปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ดอทคอมบูมและเป็นที่นิยมมาก เขารู้ตัวแน่ชัดว่าเขารักคอมพิวเตอร์และอยากเริ่มต้นพัฒนาอะไรสักอย่างที่เป็นของตัวเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้น/จุดเปลี่ยน
เขาตัดสินใจไม่กลับไปเรียนและไม่คิดถึงมันอีกเลยหลังจากนั้น แน่นอนว่าเมื่อพ่อแม่รู้เรื่องนี้เข้าพวกท่านก็อารมณ์เสียและผิดหวังในตัวเขามาก
การออกกำลังกาย/ฟิตร่างกายในช่วง COVID ระบาด
James บอกกับ CNBC ว่าเขาเล่นกีฬาตั้งแต่สมัยมัธยม แต่เมื่อเริ่มทำธุรกิจ มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ร่างกายฟิตนั้นอยู่เสมอ รวมถึงการเลือกอาหารการกินด้วย ด้วยความที่เขาทำงานอย่างหนักและตารางงานรัดตัว ไม่ว่าจะต้องเข้าออฟฟิศ เดินทางในสหรัฐฯ และต่างประเทศ และนั่นเป็นข้ออ้างที่เขาใช้เสมอเพื่อที่จะไม่ออกกำลังกาย
ดังนั้น ในช่วงที่ COVID-19 ระบาดและเขาต้อง work from home น่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเริ่มต้นการออกกำลังกาย เขาจึงเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายที่ง่ายและทำได้ในเวลาสั้นๆ เช่น การออกกำลังกายด้วยดัมเบลล์และวิ่งระยะสั้น โดยพยายามจะทำให้ได้ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ เขารู้สึกดีขึ้นมากหลังได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ความสำเร็จและความล้มเหลวที่สุด
การได้ยืนอยู่บนโพเดียมที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เมื่อ Fitbit เปิดตัวและเผยแพร่สู่สาธารณะถือเป็นงานที่ยอดเยี่ยมมาก เขาบอกว่ารู้สึกโล่งใจและภูมิใจปนๆ กัน Fitbit เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับเขา และทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทต่างภูมิใจกับมัน
ส่วนความล้มเหลวที่สุดของเขา คือ การเริ่มต้นเปิดบริษัทสตาร์ทอัพแรกของเขาที่ชื่อ Epesi Technologies เขาทำมันออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ให้บทเรียนอีกเพียบจากการทำมัน เช่น การรู้จักที่จะโฟกัส การไม่เปลี่ยนทิศทางธุรกิจบ่อยเกินไป
คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ
เมื่อเริ่มต้นธุรกิจ แน่นอนว่าความอุตสาหะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี ในการสร้างสิ่งที่มีคุณค่าที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงนั้นต้องมีความเพียรเป็นปัจจัยสำคัญ
อีกอย่าง การมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำก็สำคัญ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สังคมคาดหวังให้ทำ และในบางแง่มุม สิ่งนั้นก็เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม แต่มันอาจไม่ใช่การตัดสินใจและตัวเลือกที่ดีที่สุดและเหมาะที่สุดสำหรับคุณก็ได้
ที่มา : CNBC