แคนนอน เปิดตัว Canon EOS R3 ที่สุดของเทคโนโลยีในตระกูล EOS R พร้อมฟังก์ชันใหม่อันน่าทึ่ง พร้อมเลนส์ RF100-400mm f/5.6-8 IS USM เลนส์ซูมระยะ 100-400 มม. พร้อมด้วย RF16mm f/2.8 STM เลนส์ไพรม์มุมกว้างพิเศษให้เติมแต่งมุมมองการถ่ายภาพที่ไม่เหมือนใคร
Canon EOS R3 นิยามใหม่แห่งความเร็วและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
เซนเซอร์ Stacked CMOS โดยใช้การสะท้อนแสงกลับ ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ โดยมีความละเอียด 24.1 ล้านพิกเซล ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20% เมื่อเทียบกับ Canon EOS-1DX Mark III และ Canon EOS R6 นอกจากนี้ ยังมีประสิทธิภาพเหนือกว่า Canon EOS 5D Mark IV ที่มีความละเอียด 30.4 ล้านพิกเซล สำหรับกล้อง Canon EOS R3 มาพร้อมกับชิปประมวลผลภาพ DIGIC X ที่สามารถประมวลผลภาพด้วยความเร็วสูง ซึ่งทำให้กล้องรุ่นนี้อัดแน่นด้วยฟีเจอร์อันล้ำสมัยและเป็นกล้องมิเรอร์เลสที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตระกูล Canon EOS โดยมีจุดเด่นด้านความรวดเร็วและความแม่นยำในการจับภาพ จึงทำให้บันทึกภาพและวิดีโอออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ประสิทธิภาพในการถ่ายภาพความเร็วสูง
อิเล็กทรอนิกส์ชัตเตอร์และแมคคานิกชัตเตอร์ของ Canon EOS R3 ถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที และ 12 เฟรมต่อวินาที ตามลำดับ พร้อมการติดตามออโต้โฟกัสวัตถุและวัดแสงอัตโนมัติ (AF/AE Tracking) และยังได้รับการออกแบบให้มีความเร็วชัตเตอร์สูงถึง 1/64,000 วินาที เมื่อใช้โหมดอิเล็กทรอนิกส์ชัตเตอร์ ทำให้จับภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง หรือใช้ร่วมกับเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างจะสามารถทำงานในที่สภาพแสดงน้อยได้ดี นอกจากนี้ Canon EOS R3 ยังมาพร้อมกับช่องใส่การ์ดคู่สำหรับการ์ด CFExpress (Type-B) ที่อ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูงและเชื่อถือได้ และการ์ด SD (UHS-II) ซึ่งช่วยให้บันทึกข้อมูลภาพได้อย่างรวดเร็ว โดยทำงานควบคู่กับความสามารถในการประมวลผลด้วยความเร็วสูงอย่าไม่น่าเชื่อของชิปประมวลผลภาพ DIGIC X ทำให้เข้าถึงเมนูต่างๆ และเปลี่ยนการตั้งค่าได้ในขณะที่กำลังบันทึกข้อมูลลงในบนการ์ด
คุณภาพที่เหนือกว่าของภาพถ่ายและวิดีโอ
สำหรับการถ่ายภาพนิ่ง กล้อง Canon EOS R3 มีค่าความไวแสงเริ่มต้นที่ 100 ถึง 102,400 (ขยายได้ถึง 204,800) และสำหรับการถ่ายวิดีโอมีค่าความไวแสงที่ 100 ถึง 25,600 (ขยายได้ถึง 102,400) จากประสิทธิภาพในการอ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูงของเซนเซอร์ Stacked CMOS ทำให้ลดการผิดเพี้ยนและความบิดเบี้ยวจากการถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็ว (Rolling Shutter Distortion) ช่วยในการถ่ายภาพกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็วหรือการแพนกล้องอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังบันทึกภาพในรูปแบบไฟล์ HEIF ที่มีความละเอียดของสีที่ 10-บิต ซึ่งสามารถแปลงไฟล์ HEIF ให้เป็นภาพ JPEG ที่มีลักษณะเหมือน HDR PQ ได้ภายในตัวกล้อง ทำให้เห็นรายละเอียดในส่วนไฮไลต์และเงาได้มากขึ้น และด้วยโหมด HDR นี้ผู้ใช้จะได้ไฟล์ HEIF ที่มีไดนามิกเรนจ์กว้างขึ้นจากการรวมไฟล์ HEIF 3 ภาพ ภายในเวลา 0.02 วินาที ซึ่งทำให้การถ่ายภาพ HDR ด้วยมือเปล่าเป็นเรื่องง่าย
นอกจากนี้ กล้อง Canon EOS R3 ยังมีฟีเจอร์เหมือนกับ EOS R5 และ R6 ในส่วนของระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัว (In-Body IS) สูงสุด 5.5 สต็อป และเมื่อใช้งานคู่กับเลนส์ RF จะได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 8 สต็อป ทำให้สามารถถ่ายภาพโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องได้ง่ายดายขึ้น พร้อมด้วยฟีเจอร์ที่ตอบสนองความต้องการในการผลิตภาพยนตร์ที่สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่ให้มุมมองแบบฟูลเฟรมขนาด 6K 60p RAW หรือ 4K 120p 10-บิต สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการวิดีโอคุณภาพที่ดีที่สุดสามารถบันทึกไฟล์ที่ขนาด 4K 60p (จาก 6K oversampling) เลือกบันทึกไฟล์ได้ทั้งแบบ Canon Log 3 และ HDR PQ ซึ่งให้ผู้ใช้สามารถจัดการกับกระบวนการหลังการผลิตได้หลายรูปแบบ
โฟกัสอัจฉริยะและแม่นยำ
Canon EOS R3 นับเป็นกล้องดิจิทัลตัวแรกของแคนนอนที่มีฟังก์ชันการควบคุมออโต้โฟกัสด้วยดวงตา (Eye Control AF) หลังจากกล้อง Canon EOS 7s เปิดตัวในปี 2004 ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จะทำการเลือกกรอบออโต้โฟกัสโดยการตรวจจับการเคลื่อนไหวของม่านตาของผู้ใช้ขณะถ่ายภาพนิ่ง มาพร้อม LED และเซนเซอร์หลายตัวภายในช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EVF) ที่พัฒนาขึ้นใหม่เพื่อทำให้สามารถโฟกัสภาพได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องการเปลี่ยนโฟกัสไปยังวัตถุใหม่โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่มและใช้ปุ่มควบคุม โดยเฉพาะการถ่ายภาพกีฬาแข่งรถและวัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว
สำหรับระบบออโต้โฟกัสติดตามดวงตา (Eye Detection AF) ในกล้องรุ่นนี้ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก โดยกล้องสามารถโฟกัสที่ดวงตาได้แม้ใบหน้าจะถูกบดบังบางส่วน นอกจากนี้ในระบบออโต้โฟกัสติดตามศีรษะ (Head Detection AF) ยังมีการพัฒนาให้ดีขึ้นเช่นกัน เมื่อนักกีฬาสวมหมวกนิรภัยหรือแว่นตาก็ยังคงสามารถโฟกัสได้อย่างมั่นใจในการถ่ายภาพกีฬาความเร็วสูง
อีกทั้งยังมีการเพิ่มระบบออโต้โฟกัสติดตามยานพาหนะ (Vehicle Priority AF) แบบใหม่ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับช่างภาพมอเตอร์สปอร์ต โดยระบบโฟกัสนี้สามารถตรวจจับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้อย่างแม่นยำ ตลอดจนสามารถตรวจจับหมวกกันน็อคของคนขับได้เมื่อเปิดการใช้งานการติดตามเฉพาะจุด อีกหนึ่งคุณสมบัติอันทรงพลังที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างเซนเซอร์ใหม่และชิปประมวลผลภาพ DIGIC X คือการติดตามที่แม่นยำมากขึ้น โดยสามารถคำนวณและติดตามออโต้โฟกัสได้สูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที ซึ่งถือเป็นความสามารถที่มากกว่า Canon EOS-1DX Mark III และ Canon EOS R5 ถึงสามเท่า ทำให้ง่ายต่อการติดตามวัตถุที่เลี้ยวและเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว เช่น นักสกีหรือนักกีฬามอเตอร์สปอร์ต และด้วยขีดจำกัดของออโต้โฟกัสในการถ่ายภาพที่แสงน้อยได้ถึง EV-7.5 ทำให้สามารถโฟกัสวัตถุในสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทจนสายตามนุษย์ยากที่จะมองเห็น
การเชื่อมต่ออันไร้ที่ติสำหรับ Swift Transfer
ในบรรดากล้องแคนนอนทุกรุ่น Canon EOS R3 นับว่ามีคุณสมบัติการเชื่อมต่อที่ดีที่สุด ซึ่งมีทั้ง Bluetooth Wi-Fi และ GPS เป็นโหมดมาตรฐานในตัวกล้อง นอกจากนี้ ยังมี Wi-Fi สองคลื่นความถี่ที่รองรับ FTP และ FTPS พร้อมด้วย WPA3 เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสำหรับช่างภาพสื่อมวลชน การเชื่อมต่อผ่านสาย LAN ช่วยให้ถ่ายโอนไฟล์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ FTP FTPS หรือ SFTP ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งความสามารถทั้งหมดนี้ทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม พร้อมกันนี้ แคนนอนยังมีแอปพลิเคชันมือถือ Mobile File Transfer ที่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ 5G เพื่อการถ่ายโอนรูปภาพจากกล้องไปยังสมาร์ทโฟนได้อย่างรวดเร็วสามารถใช้งานผ่านสาย USB และถ่ายโอนรูปภาพจากจุดที่ถ่ายภาพไปยังเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลได้รวดเร็ว
ความทนทานและการใช้งาน
Canon EOS R3 ตอบสนองการใช้งานระดับมืออาชีพด้วยการซีลป้องกันฝุ่นและละอองน้ำ ตลอดจนมีชัตเตอร์ที่ทนทานเช่นเดียวกับ Canon EOS-1DX Mark III โดยกล้องมาพร้อมหน้าจอแอลซีดีระบบสัมผัสแบบปรับหมุนได้ขนาด 3.2 นิ้ว (3:2) เป็นครั้งแรก พร้อมความละเอียดประมาณ 4.15 ล้านจุด ซึ่งสูงที่สุดที่กล้องแคนนอนเคยมีมา นอกจากนี้แคนนอนยังได้พัฒนาช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์แบบ OLED ใหม่ที่มีความละเอียด 5.76 ล้านจุด ด้วยอัตรารีเฟรชเรตที่สูงถึง 120 เฟรมต่อวินาที และไม่เพียงทำให้การแพนกล้องสบายตาเท่านั้น แต่ช่วยลดเวลาหน่วงระหว่างการถ่ายภาพต่อเนื่องอีกด้วย อีกทั้งยังมีปุ่มควบคุมอัจฉริยะ (Smart Controller) แบบเดียวกับที่เปิดตัวครั้งแรกในกล้อง Canon EOS-1DX Mark III ทำให้ผู้ใช้สามารถเลื่อนตำแหน่งโฟกัสไปรอบๆ ได้อย่างรวดเร็วเป็นสองเท่าของปุ่ม AF-ON
พร้อมกันนี้ Canon EOS R3 สามารถใช้งานได้กับชุดแบตเตอรี่ความจุสูง รุ่น LP-E19 ซึ่งช่างภาพสามารถถ่ายภาพได้ทั้งวันด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียวได้อย่างมั่นใจ และสามารถชาร์จแบตเตอรี่จากแบตเตอรี่สำรองที่รองรับ Power Delivery (PD) ผ่านสาย USB-C ที่เข้ากันได้ ในส่วนของบอดี้ที่ดูสง่างามและยิ่งใหญ่ แต่กล้องรุ่นนี้มีขนาดที่เล็กกว่ากล้อง Canon EOS-1DX Mark III ถึง 15% และน้ำหนักเบากว่าถึง 30% (ตามมาตรฐาน CIPA) ด้วยน้ำหนัก 822 กรัม (เฉพาะตัวกล้อง) ซึ่ง Canon EOS R3 มีน้ำหนักที่เบากว่า Canon EOS 5DS เช่นกัน
อุปกรณ์เสริมมัลติฟังก์ชันรูปแบบใหม่
Canon EOS R3 เพิ่มฟังก์ชันการทำงานนอกเหนือจากการถ่ายภาพโดยใช้แฟลช ด้วยชุดอุปกรณ์เสริมใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกัน ประกอบด้วย
- ไมโครโฟนสเตอริโอแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ รุ่น DM-E1D ที่มาพร้อมคุณสมบัติแบบอนาล็อกเหมือนรุ่น DM-E1 นอกจากจะสามารถบันทึกเสียงดิจิทัลโดยตรงได้แล้ว ยังมีการออกแบบให้ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่และสายเคเบิลอีกด้วย โดยการส่งข้อมูลเสียงและจ่ายไฟผ่านช่องแฟลชมัลติฟังก์ชันจากกล้อง และมีปุ่มเมนูบนไมโครโฟนเพื่อช่วยให้เข้าถึงโหมดตั้งค่าการใช้งานภายในเมนูกล้องได้สะดวกรวดเร็ว
- Speedlite Transmitter ST-E10 รุ่นใหม่ที่ทำงานคล้ายกับรุ่น ST-E3-RT ซึ่งออกแบบให้ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่และมีปุ่มที่เข้าถึงเมนูได้รวดเร็วเหมือนกับ DM-E1D มีความโดดเด่นอยู่ที่การออกแบบอันกะทัดรัดและมีน้ำหนักลดลง 56% เมื่อเทียบกับรุ่น ST-E3-RT
- อะแดปเตอร์ช่องแฟลชมัลติฟังก์ชัน รุ่น AD-E1 ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้กล้อง Canon EOS R3 สามารถใช้กับแฟลช Speedlite รุ่นที่มีซีลป้องกันฝุ่นและละอองหยดน้ำได้ ตัวอย่างเช่น แฟลช Speedlite รุ่น EL-1 และตระกูล 600EX อย่างไรก็ตาม แฟลช Speedlite ที่ไม่มีการออกแบบมาเพื่อป้องกันฝุ่นและละอองน้ำ อาทิ แฟลชตระกุล 430EX และ 270EX สามารถติดตั้งกับ Canon EOS R3 ได้โดยตรง
- อแดปเตอร์ Smartphone Link AD-P1 เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับติดตั้งสมาร์ทโฟนเข้ากับช่องมัลติฟังก์ชันของ Canon EOS R3 โดยสาย USB จะช่วยให้ถ่ายโอนภาพและวิดีโอจากกล้องไปยังสมาร์ทโฟนได้อย่างรวดเร็ว ด้วยแอปพลิเคชันมือถือ Mobile File Transfer ทำให้ช่างภาพสามารถถ่ายโอนภาพความละเอียดสูงเหล่านี้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ FTP ที่อยู่ระยะไกลผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ 5G และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของช่างภาพในภาคสนามได้เป็นอย่างมาก
ขยายทุกขอบเขตการสร้างสรรค์ด้วยเลนส์ RF ใหม่
เล็กกว่า เบากว่า และดียิ่งขึ้น
ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่และระยะท้ายเลนส์สั้นของเมาท์ RF ในระบบ EOS R Systemทำให้เลนส์ทั้งสองรุ่นนี้มีขนาดกะทัดรัดแต่ยังคงให้ประสิทธิภาพด้านออพติคได้อย่างไร้ที่ติ ทำให้ได้คุณภาพของภาพที่คมยันขอบทั่วทั้งภาพ
สำหรับ RF100-400mm f/5.6-8 IS USM เป็นเลนส์เทเลโฟโต้ที่มีช่วงซูมสูงสุด 400 มม. มาพร้อมความกะทัดรัดของกระบอกเลนส์ที่มีความยาวน้อยกว่า 170 มม. ทำให้ผู้ใช้สามารถพกพาได้สะดวก ด้วยน้ำหนักประมาณ 635 กรัม ถือเป็นเลนส์เทเลโฟโต้ที่มีราคาเป็นมิตรอีกหนึ่งตัวเลือกให้กับลูกค้า ซึ่งเบากว่า RF24-105mm f/4L IS USM อีกทั้งยังมีขนาดใกล้เคียงกับ EF70-300mm f/4.5-5.6 IS II USM แต่มีทางยาวโฟกัสช่วงเทเลโฟโต้มากกว่าถึง 100 มม. มาพร้อมมอเตอร์ Nano USM ทำให้ RF100-400mm f/5.6-8 IS USM สามารถโฟกัสได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นตลอดช่วงการซูม ไม่ว่าจะเป็นการภาพนิ่งหรือวิดีโอ ซึ่งถือเป็นเลนส์เริ่มต้นอันยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่สนใจในการถ่ายภาพนกและสัตว์ป่า
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ Extender RF1.4x หรือ RF 2x เพื่อเพิ่มทางยาวโฟกัสเป็น 1.4 หรือ 2 เท่า เมื่อใช้ร่วมกับกล้องมิเรอร์เลสน้ำหนักเบาของแคนนอน ช่างภาพสามารถเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพด้วยช่วงเทเลโฟโต้สูงสุด 800 มม. และสามารถเดินป่าได้ระยะทางไกลหรือถือถ่ายด้วยมือเปล่าได้อย่างสะดวกสบาย
สำหรับเลนส์มุมกว้างพิเศษที่มีรูรับแสงกว้าง f/2.8 โดยปกติจะมีราคาสูง แต่เลนส์ RF16mm f/2.8 STM นับเป็นเลนส์ที่มีราคาเข้าถึงได้ โดยอีกคุณสมบัติที่โดดเด่นของ RF16mm f/2.8 STM อยู่ที่การออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด ด้วยความสูงเพียง 40.2 มม. และน้ำหนักประมาณ 165 กรัม จึงทำให้ไม่ค่อยกินพื้นที่ในกระเป๋ากล้อง ซึ่งเลนส์นี้จะมีรูปร่างที่คล้ายคลึงกับเลนส์ RF50mm f1.8 STM
เปิดมุมมองแห่งการสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่
ด้วยระยะโฟกัสใกล้สุดเพียง 1.05 ม. (ที่ 400 มม.) มีอัตราขยายสูงสุด 0.41 เท่า ทำให้ RF100-400mm f/5.6-8 IS USM เหมาะสำหรับการถ่ายภาพดอกไม้และสิ่งมีชีวิตเล็กๆ โดยดึงเอาเอฟเฟกต์การดึงระยะเลนส์และโบเก้ที่ดีที่สุดของเลนส์เทเลโฟโต้ออกมา โดยเลนส์นี้มาพร้อมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหว 5.5 สต็อป และระบบป้องกันภาพสั่นไหวจะเพิ่มขึ้นถึง 6 สต็อป เมื่อใช้งานร่วมกับกล้องที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัว (In-Body IS) ซึ่งช่วยลดการสั่นของกล้องได้อย่างมีประสิทธิภาพและให้ภาพที่คมชัดแม้ถ่ายภาพในระยะเทเลโฟโต้ที่ 400 มม.
สำหรับเลนส์ RF16mm f/2.8 STM ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพอันทรงพลังโดยการปรับมุมมองเพื่อถ่ายภาพวัตถุที่อยู่ใกล้ให้ดูใหญ่ขึ้นหรือให้เล็กลงเหมือนเทียบกับวัตถุที่อยู่ห่างไกลได้เช่นกัน จากเอฟเฟกต์การบิดเบือนของเลนส์มุมกว้างพิเศษเมื่อเราเข้าใกล้วัตถุมากขึ้น (เช่น สัตว์และเด็ก) จะทำให้ภาพที่ได้ดูแปลกตา โดยเลนส์มุมกว้างพิเศษ RF16mm f/2.8 STM ยังครอบคลุมมุมมองภาพแนวทแยง 110 องศา ทำให้สะดวกต่อการถ่ายเซลฟี่ที่ต้องการเก็บภาพคนจำนวนมาก การถ่ายวิดีโอสำหรับใช้ในโซเชียลมีเดีย และถ่ายภาพในที่แคบ นอกจากนี้ความกว้างของรูรับแสงที่ f2.8 ไม่เพียงแค่สร้างโบเก้ที่สวยงาม แต่ยังเป็นเลนส์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการถ่ายภาพดาราศาสตร์ได้เช่นกัน
สนใจดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://th.canon/th/consumer และบนเฟสบุ๊คทางการของแคนนอน https://www.facebook.com/Canon.thailand/ หรือติดต่อ Call Center โทร 0-2344-9988