เปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 mini แล้ว ครั้งนี้ปรับปรุงอัปเกรดเรื่องกล้องให้ถ่ายภาพและวิดีโอในเวลากลางคืนดีขึ้น ใช้ชิปรุ่นใหม่ A15 Bionic ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม หน่วยความจำเริ่มต้นใหญ่ขึ้นเป็น 128GB และแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานนานยิ่งกว่าเดิม ราคา เริ่มต้นที่ 25,900 บาท เปิดจอง 1 ตุลาคม และเริ่มวางขายในไทย 8 ตุลาคมนี้
สิ้นสุดการรอคอย แอปเปิล เปิดตัว ไอโฟนรุ่นใหม่ของปี 2021 เป็นที่เรียบร้อย กับ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ครั้งนี้ ดีไซน์หน้าตายังใกล้เคียงกับ iPhone 12 ที่หน้าจอแบบเรียบ ขอบเครื่องแบบสันตรง โดยมีสีสันให้เลือก 5 สีด้วยกันคือ สีชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT)RED
ดีไซน์สวยงาม แบตอึดกว่าเดิม
ตัวขอบเครื่องวัสดุเป็นอะลูมิเนียมที่เรียบหรูดูดี มากับขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ 5.4 นิ้ว ที่กระจกมี Ceramic Shield ที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ตัวเครื่องกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
ขนาดตัวเครื่อง
- iPhone 13 ขนาด 146.7 x 71.5 x 7.65 มิลลิเมตร หนัก 173 กรัม
- iPhone 13 mini ขนาด 131.5 x 64.2 x 7.65 มิลลิเมตร หนัก 140 กรัม
กล้องหลังปรับดีไซน์การวางกล้องคู่ใหม่เป็นแนวทแยง ส่วนด้านหน้าตัวกล้อง TrueDepth พร้อมระบบความปลอดภัยที่ดีที่สุดอย่าง FaceID มีขนาดความกว้างน้อยลง ทำให้มีพื้นที่แสดงผลหน้าจอมากขึ้น
หน้าจอเป็น Super Retina XDR Display แบบ OLED แสดงสีดำได้ดำสนิท ค่าความสว่างสูงสุดเพิ่มขึ้น 28% เป็น 800 นิต (สูงสุด 1200 นิต) ใช้งานในกลางแจ้งได้สว่างคมชัดมากขึ้น รองรับแสดงผลคอนเทนต์ HDR ทั้งภาพถ่ายและวิดีโอ แถมยังประหยัดพลังยิ่งกว่าเดิม
แบตเตอรี่ของ iPhone 13 และ iPhone 13 mini สามารถใช้งานได้นานขึ้น ด้วยขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น, ชิป A15 Bionic ที่ผลิตบนเทคโนโลยี 5nm และการจัดสรรพลังงานอย่างลงตัวผ่านฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ที่ทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว
- iPhone 13 แบตเตอรี่ใช้งานได้ตลอดวัน ใช้ได้นานกว่า iPhone 12 ถึง 2.5 ชั่วโมง
- iPhone 13 mini แบตเตอรี่ใช้งานได้ตลอดวัน ใช้ได้นานกว่า iPhone 12 mini ถึง 1.5 ชั่วโมง
กล้องคู่ที่ล้ำสมัยที่สุดใน iPhone
ไม่ใช่แค่การปรับกล้องคู่ให้ตำแหน่งวางเอียงทแยง แต่ประสิทธิภาพก็ดีขึ้นทุกด้าน กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.6 มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบกล้องคู่ของ iPhone มีพิกเซลขนาด 1.7 µm รับแสงได้มากขึ้น 47% ถ่ายภาพได้สว่างชัดมากขึ้นและมีน้อยซ์ลดลง และใช้ระบบ OIS แบบปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ แบบเดียวกับใน iPhone 12 Pro Max ทำให้ภาพที่ถ่ายแต่ละช็อตนิ่งยิ่งขึ้น
ส่วนกล้องมุมกว้าง 120 องศา Ultra-Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ออกแบบมาโดยเฉพาะ พร้อมเซ็นเซอร์ใหม่ สามารถเก็บบันทึกรายละเอียดในส่วนมืดได้มากยิ่งทั้งการถ่ายภาพและวิดีโอ
โหมดถ่ายวิดีโอเหนือชั้นขึ้นกว่าเดิม ด้วยโหมด ภาพยนตร์ Cinematic สามารถบันทึกวิดีโอทั้งคน สัตว์เลี้ยง และวัตถุ พร้อมปรับเอฟเฟ็กต์ระยะชัดลึกที่สวยงาม และเปลี่ยนโฟกัสได้โดยอัตโนมัติ สามารถถ่ายคลิปวิดีโอได้แบบสไตล์ภาพยนตร์ ระบบนี้ได้มาจากการที่ แอปเปิล ศึกษาเรื่องการกำกับภาพและการใช้โฟกัสแบบแร็คอย่างละเอียด
นอกจากนี้การปรับโฟกัสยังสามารถควบคุมปรับได้ทั้งขณะที่ถ่ายหรือหลังจากถ่ายเสร็จแล้วได้ด้วย รวมถึงผู้ใช้ยังสามารถปรับระดับโปเก้ในแอปรูปภาพ และ iMovie สำหรับ iOS ได้ด้วย (และจะรองรับใน iMovie บน Mac และ Final Cut Pro ในอนาคต)
สุดยอดไปอีกกับโหมดภาพยนตร์ของกล้อง iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังสามารถบันทึกในแบบ Dolby Vision HDR ได้อีกด้วย ตั้งแต่การถ่ายทำจนถึงการตัดต่อและแชร์ และถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K สูงสุด 60 fps ด้วย ได้ทั้งกล้องหลักและกล้อง Ultra-wide
เบื้องหลังคือพลังของ Neural Engine ที่เร็วยิ่งขึ้นในชิป A15 Bionic รวมถึงโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ (ISP) ใหม่ ยังมีคุณสมบัติ “สไตล์ภาพถ่าย” ให้ผู้ใช้นำสไตล์การปรับแต่งภาพในแบบของตัวเองมาใช้กับทุกภาพได้ โดยที่ยังคงได้ประโยชน์จากการประมวลผลภาพแบบหลายเฟรมของ Apple ส่วนค่าสำเร็จรูปและค่าที่ปรับแต่งไว้เองนั้นก็ใช้งานได้กับตัวแบบและสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์ตรงที่จะมีการปรับค่าต่างๆ ในแต่ละส่วนของภาพในระดับที่เหมาะสมอย่างชาญฉลาดเพื่อให้องค์ประกอบสำคัญในภาพอย่างโทนสีผิวยังคงดูดีเช่นเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบกล้องคู่และการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ยังรองรับ HDR อัจฉริยะ สามารถปรับแต่งสีสัน คอนทราสต์ และการจัดแสงของแต่ละคนในภาพหมู่ให้สวยงามลงตัวยิ่งขึ้น แม้ในสภาวะที่แสงไม่ดี ทำให้ภาพดูสมจริงยิ่งกว่าเดิม และถ่ายภาพในโหมดกลางคืนได้ดียิ่งขึ้นด้วย ที่สำคัญคือกล้องหน้า TrueDepth ก็รองรับคุณสมบัติใหม่ๆ อันน่าทึ่งของกล้องครบทั้งหมดด้วย ทั้งโหมดภาพยนตร์ สไตล์ภาพถ่าย และ HDR อัจฉริยะ
ชิป A15 Bionic: หัวใจสำคัญของ iPhone 13
เร็วแซงหน้าคู่แข่งไปไกลด้วยประสิทธิภาพที่ดีกว่า และยังประหยัดพลังงานดีกว่าด้วย ทุกอย่างในกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 จึงดูลื่นไหลยิ่งขึ้น ชิปรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยี 5 นาโนเมตรและมีทรานซิสเตอร์เกือบ 1.5 หมื่นล้านตัว สำหรับจัดการกับงานหนักๆ รวมถึงคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่าย
โดยมี CPU แบบ 6-core ใหม่ ที่มาพร้อมคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2-core และคอร์ที่ประหยัดพลังงานสูง 4-core ซึ่งเร็วกว่าคู่แข่งสูงสุด 50% จนเรียกได้ว่าเร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน และสามารถรับมือกับงานหนักๆ ได้อย่างลื่นไหลและประหยัดพลังงานอีกด้วย
ในขณะที่ GPU แบบ 4-core ใหม่เร็วกว่าคู่แข่งสูงสุด 30% จึงทำให้เอฟเฟ็กต์ภาพและแสงในเกมที่เน้นกราฟิกมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น ส่วน Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ก็ประมวลผลได้ถึง 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที จึงประมวลผลเพื่อการเรียนรู้ของระบบได้เร็วยิ่งขึ้น และช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ
รองรับ 5G มากยิ่งขึ้น
iPhone 13 รองรับย่านความถี่ 5G มากขึ้น จึงทำงานบน 5G ได้หลายที่มากขึ้น ครอบคลุมยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพการโทรที่ดีขึ้นด้วย และภายในสิ้นปี 2021 การรองรับ 5G บน iPhone ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า ครอบคลุมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์กว่า 200 รายทั่วโลกใน 60 ประเทศและภูมิภาค
โดยประสบการณ์ที่ผู้ใช้จะได้สัมผัสนั้นมีตั้งแต่การสตรีมวิดีโอด้วยคุณภาพที่สูงขึ้นบนแพลตฟอร์มโปรด การเล่นเกมแบบหลายผู้เล่นที่สนุกตื่นเต้นยิ่งขึ้น ความเร็วในการดาวน์โหลดและอัปโหลดที่สูงขึ้น และอีกมากมาย
ยิ่งกว่านั้นเมื่อ SharePlay ใน iOS 15 มาอยู่บน 5G แล้ว ก็จะช่วยให้ผู้ใช้แชร์ประสบการณ์ร่วมกันได้อย่างทรงพลัง อย่างการดูภาพยนตร์หรือรายการทีวีแบบ HDR ไปพร้อมๆ กันกับเพื่อนขณะโทร FaceTime และยังมีโหมด “ข้อมูลอัจฉริยะ” ที่จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อย่างชาญฉลาดโดยการปรับความเร็วของ iPhone มาอยู่ที่ LTE เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วระดับ 5G
มาพร้อม iOS 15
ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน iPhone ด้วยวิธีใหม่ๆ ในการต่อติดกับทุกคน พร้อมด้วยคุณสมบัติอันทรงพลัง ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถโฟกัส สำรวจ และทำอะไรได้อีกมากมาย ด้วยระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์
- การโทร FaceTime ก็ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นด้วยระบบเสียงตามตำแหน่งและโหมดภาพถ่ายบุคคลใหม่ และมีโหมดโฟกัสใหม่ที่ช่วยลดสิ่งรบกวนสมาธิ
- การแจ้งเตือนโฉมใหม่ และคุณสมบัติ “ข้อความในรูปภาพ” ที่ใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อตรวจหาข้อความในรูปภาพและให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้
- Apple Maps มาพร้อมวิธีใหม่ๆ ในการนำทางและสำรวจโลกด้วยประสบการณ์การขับขี่ในเมืองแบบ 3 มิติ และเส้นทางการเดินในแบบความจริงเสริม
- แอปสภาพอากาศก็ได้รับการออกแบบใหม่โดยมีทั้งแผนที่เต็มหน้าจอและการแสดงข้อมูลสภาพอากาศในแบบกราฟิกมากยิ่งขึ้น
- แอปกระเป๋าสตางค์พร้อมรองรับกุญแจบ้าน
- การควบคุมด้านความเป็นส่วนตัวใหม่ๆ ใน Siri, เมล และอีกหลายที่ทั่วทั้งระบบเพื่อช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น
ราคา และ การวางจำหน่าย iPhone 13 และ iPhone 13 mini
หลังจากการ เปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 mini ก็มีการประกาศวันวางจำหน่ายและราคาทันที โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีให้เลือก 5 สีคือ สีชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT)RED โดยความจุเริ่มต้นจะมากกว่าเดิมเป็น 2 เท่า คือ 128GB และมีรุ่น 256GB และ 512GB ให้เลือก
สำหรับในประเทศไทย iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะเปิดให้สั่งจองล่วงหน้า ในวันที่ 1 ตุลาคม และวางจำหน่ายในวันที่ 8 ตุลาคม โดยจะมีราคา ดังนี้
- iPhone 13 ความจุ 128GB ราคา 29,900 บาท
- iPhone 13 ความจุ 256GB ราคา 33,900 บาท
- iPhone 13 ความจุ 512GB ราคา 41,900 บาท
- iPhone 13 mini ความจุ 128GB ราคา 25,900 บาท
- iPhone 13 mini ความจุ 256GB ราคา 29,900 บาท
- iPhone 13 mini ความจุ 512GB ราคา 37,900 บาท