วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน (EUL) จากองค์การอนามัยโลก (WHO) แล้ว โดยการขึ้นทะเบียนดังกล่าวมีผลทันที และครอบคลุมถึงวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทยก่อนหน้านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ AstraZeneca ให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา เพื่อเร่งการเข้าถึงวัคซีนและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และในขณะนี้ได้เพิ่มเติมในส่วนของการรับรองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยโดยสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือ Vaxzevria เป็นวัคซีนที่มีคุณภาพสูง และผลิตตามเกณฑ์มาตรฐานเดียวกันทั่วโลกไม่ว่าจะผลิตจากที่ใดก็ตาม
นายเจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “แอสตร้าเซนเนก้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่องค์การอนามัยโลกได้ให้การรับรองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยเพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉิน แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลในหลายประเทศจะให้การรับรองผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยว่าเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว และตามมาตรการควบคุมการเดินทาง ผู้ที่ได้รับวัคซีนดังกล่าวสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ แต่การรับรองวัคซีนโดยองค์การอนามัยโลกในครั้งนี้ก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้รัฐบาลในประเทศต่างๆ ยอมรับและรับรองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเพื่อประโยชน์ในการเดินทางที่ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น”
นางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรกิตติมศักดิ์ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด กล่าวว่า “วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยในทุก ๆ รอบการผลิตนั้นได้ผ่านการตรวจรับรองคุณภาพจากหน่วยงานที่กำกับดูแล รวมถึงห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่วัคซีนชุดแรกที่ได้ทำการส่งมอบให้กับแอสตร้าเซนเนก้า ผลการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ครั้งนี้ ถือเป็นข่าวดีที่ตอกย้ำถึงคุณภาพของวัคซีนที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ ในฐานะศูนย์การผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศใกล้เคียง ที่ได้รับการรับรองจากองค์กรระดับโลกอย่าง WHO เรามีความภาคภูมิใจที่บริษัทของคนไทยได้รับเลือกจากแอสตร้าเซนเนก้าให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 และสามารถผลิตวัคซีนคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล สยามไบโอไซเอนซ์ยังคงทำงานร่วมกับแอสตร้าเซนเนก้าอย่างใกล้ชิด และผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้สุขภาพและความเป็นอยู่ของคนในชาติกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง”
แอสตร้าเซนเนก้าและพันธมิตรผู้ผลิตทุกรายให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สูงสุด วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าในแต่ละรุ่นการผลิตนั้นผ่านการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพต่างๆ รวมกันมากกว่า 60 รายการ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล
นับตั้งแต่เริ่มมีการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าจนถึง เดือน กันยายน 2564 มีผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว กว่า 585 ล้านคนทั่วโลก ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าได้สร้างประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการช่วยปกป้องชีวิตผู้คนมากมายจากโรคโควิด-19 ทั้งจากการเสียชีวิต กว่า 105,000 คน และจากอาการเจ็บป่วยในระดับที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคโควิด-19 กว่า 620,000 คน
ผลการทดลองทางคลินิกยืนยันว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิผลในการป้องกันอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ในทุกระดับความรุนแรง และมีประสิทธิผลในการป้องกันการเจ็บป่วยในระดับที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ 100% หลังได้รับวัคซีนครบทั้งสองโดส นอกจากนี้ จากข้อมูลการใช้วัคซีนในประชากรทั่วโลก ยังแสดงให้เห็นว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิผลในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงจากโรคโควิด-19 ในทุกกลุ่มอายุได้มากถึง 80%-90% และยังมีประสิทธิผลครอบคลุมไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงสายพันธุ์กลายพันธุ์หลักที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุไว้
แอสตร้าเซนเนก้าและพันธมิตรผู้ผลิตได้ส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว กว่า 1.5 พันล้านโดสให้แก่ประเทศต่างๆ มากกว่า 170 ประเทศทั่วโลก และ ประมาณ 2 ใน 3 ของจำนวนวัคซีนจำนวนดังกล่าวได้ถูกส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำและกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (ChAdOx1-S [Recombinant]) เดิมเรียก AZD1222 ถูกคิดค้นและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัท วัคซีเทค ซึ่งก่อตั้งโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้ โดยหลังจากฉีดวัคซีนเซลส์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง