ถือว่าเป็นสัปดาห์ที่หนักหนาสาหัสสำหรับ Facebook เลยก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้ ที่ Facebook และแอปพลิเคชันในเครืออย่าง Instagram , Messenger , WhatsApp และ Oculus ต้องเผชิญกับระบบล่มนานกว่า 7 ชั่วโมง ยิ่งไปกว่านั้น โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่กำลังเผชิญกับการตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเป็นอันตรายจาก Facebook และ Instagram ที่มีต่อเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลกระทบกับวัยรุ่น
Nick Clegg อดีตรองนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายกิจการและการสื่อสารระดับโลกของ Facebook ได้กล่าวว่า
Facebook กำลังวางแผนที่จะ ลด Reach การมองเห็นเนื้อหาจากเพจต่างๆ บนหน้า Feed ของผู้ใช้ โดยจะเน้นให้เห็นโพสต์ที่เพื่อนแชร์มากขึ้น
Clegg ให้สัมภาษณ์กับสื่อ CNN ว่า นี่เป็นแผนการของ Facebook ที่เปิดตัวฟีเจอร์ “Nudge” ที่จะช่วยผลักและกันกลุ่มวัยรุ่นให้ห่างไกลจากเนื้อหาที่อาจไม่เอื้อต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา โดย Facebook จะใช้ตัวควบคุมแบบใหม่สำหรับผู้ปกครองของวัยรุ่นให้สามารถเลือกและควบคุมดูแลสิ่งที่วัยรุ่นกำลังทำทางออนไลน์ได้ นอกจากนี้ Facebook จะทำเริ่มโฟกัสไปที่เนื้อหาที่กลุ่มวัยรุ่นให้ความสนใจซ้ำๆ บ่อยๆ
นอกจากนี้ Clegg ยังกล่าวถึงการหยุดความคิดเกี่ยวกับ Instagram Kids แล้วทางบริษัทกำลังวางแผนจะพัฒนาฟีเจอร์ “take a break” เพื่อเป็นการกระตุ้นให้วัยรุ่นนั้นวาง/พักจากการใช้งาน Instagram บ้าง
การเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหวของ Facebook นั้นเริ่มจากการที่บริษัทถูก Francis Haugen อดีตพนักงานที่เคยทำงานที่ Facebook ได้นำข้อมูลออกมาแฉกับสื่อ The Wall Street Journal รวมทั้งการออกมาเปิดเผยโดยให้สัมภาษณ์ออกสู่สาธารณะในรายการ 60 Minutes กับทางสถานีโทรทัศน์ CBS และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอได้ให้การเป็นพยานในการพิจารณาคดีต่อหน้าคณะกรรมาธิการการพาณิชย์วิทยาศาสตร์และการขนส่งของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา (the Senate Commerce, Science and Transportation Subcommittee)
จะว่าไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Facebook ให้สัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลง/ปรับปรุงแพลตฟอร์มให้ดีขึ้น ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Facebook กล่าวว่าจะลดปริมาณเนื้อหาที่เกี่ยวกับการเมืองในหน้า News Feed ลง หลังจากได้รับ feedback เชิงบวกระหว่างทำการทดสอบ และในปี 2018 Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Facebook เคยกล่าวว่าบริษัทกำลังปรับปรุง News Feed เพื่อจัดลำดับความสำคัญของโพสต์จากครอบครัวและเพื่อนฝูง มากกว่าคอนเทนต์ที่มาจาก publisher และแบรนด์ต่างๆ
ที่มา : CNET