iPhone 13 พร้อมเปิดให้จองแล้วในไทย และจะวางขาย 8 ตุลาคมนี้ สำหรับ เอไอเอส มี ราคา สุดพิเศษสำหรับลูกค้า และ โปรโมชัน ให้คุณใช้ iPhone 13 บนเครือข่าย AIS 5G ที่ดีที่สุด คลื่นมากที่สุด เร็วที่สุด ครอบคลุมมากที่สุดทั่วไทย แต่ถ้าใครที่ยังคิดไม่ตกว่า สรุปแล้วจะซื้อรุ่นไหนดี วันนี้ทีมงานล้ำหน้าฯ เราจะมาแนะนำฟีเจอร์เด่นๆ ของไอโฟนประจำปีนี้ ให้คุณได้รู้ว่า จะเลือกรุ่นไหนที่เหมาะกับตัวเอง มากที่สุด
โปรโมชัน จอง iPhone 13 จาก AIS พิเศษ รับส่วนลดสูงสุด 18,000 บาท ราคาดีที่สุด พร้อมผ่อน 0% สบายๆ เล่นเน็ต 5G เร็ว แรง เต็มสปีด ไม่อั้น
พร้อมทั้งยังได้รับวงเงิน ในการซื้อแอปและเกมที่คุณชื่นชอบ สูงสุด 2,400 บาท (เมื่อสมัครแพ็กเกจตามที่กำหนด) , อุปกรณ์เสริมจาก Apple ได้ลดสูงสุด 34% พร้อมรับสิทธิพิเศษอีกมากมาย
iPhone 13 ราคาพิเศษ เฉพาะจองที่ AIS เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 3 ตุลาคม 2564 นี้เท่านั้น
ปีนี้ Apple ยังส่ง iPhone รุ่นใหม่ออกมาพร้อมกัน 4 รุ่น คือ iPhone 13, iPhone 13 mini, iPhone 13 Pro หรือ iPhone 13 Pro Max หลักๆ แล้วหน้าตานั้นยังเป็นดีไซน์แบบเดิมเหมือนกับปีที่แล้ว ที่หน้าจะเป็นแบบแบนราบ ขอบเฟรมเครื่องเป็นแบบแบนเรียบถือจับถนัด และมีความทนทาน
หน้าจอมีการเคลือบ Ceramic Shield ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกระจกมากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ด้านหลังตัวเครื่องรองรับอุปกรณ์ชาร์จไร้สายแม่เหล็กแบบ MagSafe
ขนาดและน้ำหนักของ iPhone 13 แต่ละรุ่น
- iPhone 13 หน้าจอ 6.1 นิ้ว ตัวเครื่องขนาด 146.7 x 71.5 x 7.65 มิลลิเมตร หนัก 173 กรัม
- iPhone 13 mini หน้าจอ 5.4 นิ้ว ตัวเครื่องขนาด 131.5 x 64.2 x 7.65 มิลลิเมตร หนัก 140 กรัม
- iPhone 13 Pro หน้าจอ 6.1 นิ้ว ตัวเครื่องขนาด 146.7 x 71.5 x 7.65 มิลลิเมตร หนัก 203 กรัม
- iPhone 13 Pro Max หน้าจอ 6.7 นิ้ว ตัวเครื่องขนาด 160.8 x 78.1 x 7.65 มิลลิเมตร หนัก 238 กรัม
13 เรื่องต้องรู้ ก่อนเลือกซื้อ iPhone 13 ว่ารุ่นไหนจะเหมาะกับคุณที่สุด!
รองรับ 5G ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ต้องยอมรับเลยว่า ปีที่แล้ว iPhone 12 Series คือสมาร์ทโฟน 5G ที่ขายดีที่สุดในโลก และในปีนี้ iPhone 13 ก็คงจะครองแชมป์นี้ต่อไปได้ เพราะมีการพัฒนาร่วมกับผู้ให้บริการ เพื่อให้ทำงาน 5G ได้อย่างดีเยี่ยม รอบรับย่านความถี่ 5G มากกว่า เพื่อความเร็วระดับ 5G ที่ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งาน 5G ที่ดีที่สุด
และยังมีโหมดข้อมูลอัจฉริยะ ที่จะมีการปรับความเร็วให้อัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับการใช้งานในตอนนั้น เพื่อประหยัดพลังงานของเครื่องโดยไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วที่มากเกินไปจนแบตหมดเร็วกว่าเดิม
และแน่นอนว่า เพื่อให้ใช้ iPhone 13 ได้เต็มประสิทธิภาพ ดีที่สุดบนเครือข่าย AIS 5G ที่ดีที่สุด คลื่นมากที่สุด เร็วที่สุด ครอบคลุมมากที่สุดทั่วไทยติดต่อสื่อสาร รับส่งข้อมูลรวดเร็ว โหลดคลิปดูสตรีมมิ่ง หรือเล่นเกมได้แบบไม่มีสะดุด
ติ่งบนหน้าจอเล็กลง
เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับไอโฟนมาหลายปี ปีนี่เธอก็ยังอยู่แต่ว่ามีขนาดที่เล็กลง ด้วยการออกแบบให้ส่วนของลำโพงเสียงเลื่อนขึ้นไปด้านบนให้ชิดกับขอบมากขึ้น ทำให้เขยิบเอาชุดกล้อง TruDepth และเซ็นเซอร์ของ FaceID ทั้งหลายเข้ามา ตรงกลาง ส่งผลให้พื้นที่ส่วนติ่งที่ยื่นเข้ามาในจอลดลงกว่าเดิม
หน้าจอ ProMotion 120Hz
หน้าจอของ iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะเป็นแบบ Super Retina XDR พาเนลแบบ OLED ที่สว่างกว่าเดิม 28% สว่างสูงสุด 800 นิต ทำให้ใช้งานกลางแจ้งเจอกับแดดก็ยังมองเห็นได้ชัด และถ้าดูคอนเทนต์ HDR จะสว่างได้ถึง 1,200 นิต
แต่ที่เด็ดคือ หน้าจอของ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ที่เป็นแบบ ProMotion แบบเดียวกับใน iPad Pro โดยจะสามารถแสดงผลค่ารีเฟรชหน้าจอได้ตั้งแต่ 10-120Hz ทำให้การแสดงผลคอนเทนต์ต่างๆ มีความไหลลื่นมากขึ้น อีกทั้งยังประหยัดแบตเตอรี่ได้ดีขึ้นอีกด้วย
iPhone 13 ทุกรุ่น แบตอึดกว่าเดิม
ปกติแล้วแอปเปิลจะไม่บอกตัวเลขความจุแบตเตอรี่ของไอโฟน แต่จะบอกเป็นความสามารถในการใช้งานได้นานแค่ไหน ใน iPhone 13 ทุกรุ่นภายในมีการออกแบบบอร์ดใหม่ทำให้มีพื้นที่ใส่ความจุแบตเตอรี่มากขึ้น ร่วมกับการพัฒนาตัวชิป A15 Bionic และระบบ iOS15 ที่ประหยัดพลังงาน ทำให้ iPhone 13 ทุกรุ่นใช้งานได้นานขึ้น
- iPhone 13 เล่นวิดีโอนานสุด 19 ชั่วโมง
- iPhone 13 mini เล่นวิดีโอนานสุด 17 ชั่วโมง
- iPhone 13 Pro เล่นวิดีโอนานสุด 22 ชั่วโมง
- iPhone 13 Pro Max เล่นวิดีโอนานสุด 28 ชั่วโมง
ดังนั้น ถ้าใครเน้นใช้งานหนักๆ สายเกมเมอร์ แนะนำว่าไป iPhone 13 Pro Max ได้เลย แบตอึดอยู่ได้ยาวๆ
มีสารพัดสีให้เลือกแบบที่คุณชอบ
แอปเปิลยังจัดสีเครื่องออกมาให้เลือกหลายสีเช่นเคย โดยใน iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะเป็นโทนสีที่สว่างสดใส ส่วน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะเป็นสีแบบ matte ผิวสัมผัสด้าน
- iPhone 13 และ iPhone 13 mini มีให้เลือก 5 สีด้วยกันคือ สีชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และ รุ่น (PRODUCT)RED
- iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มีทั้งหมด 4 สี คือ สีกราไฟต์, ทอง, เงิน และเซียร์ร่าบลู
A15 Bionic เร็วจัดแรงจริง!
ชิปเซ็ตสำหรับสมาร์ทโฟนของแอปเปิล ที่ยังคงเพิ่มความแข็งแกร่งและทรงพลังขึ้นทุกรุ่น และน A15 Bionic ผลิตบนเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม 5nm มี CPU แบบ 6-Core ใหม่ (ประกอบด้วย คอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์) และมี Neaurat Engine ในการประมวลผลด้าน AI และ Machine learning อีก 16-core
ส่วนของการประมวลผลกราฟฟิค GPU ใน iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะเป็นแบบ 4-core ส่วน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะแรงกว่าโดยเป็นแบบ 5-Core
กล้องดีขึ้นรอบด้าน ถ่ายสวยทุกสภาพแสง
ดูจากภายนอก อาจจะไม่รู้สึกว่ากล้องของ iPhone 13 นั้นต่างจากเดิมอย่างไร แต่ถ้ามองลึกลงไปข้างใน จะรู้ว่ามันเก่งขึ้นมาก
iPhone 13 และ iPhone 13 mini เป็นกล้องแบบคู่ ที่ต่างจาก รุ่นก่อนตรงสลับตำแหน่งเลนส์กล้องที่เรียงต่อกันมาเป็นแบบทแยงมุม 45 องศสา อันนี้ไม่ใช่แอปเปิลอยากเปลี่ยนเฉยๆ แต่มีเหตุผลในด้านวิศวกรรม เพราะกล้องหลักของ iPhone 13 และ iPhone 13 mini เปลี่ยนมาใช้เซนเซอร์กล้องขนาดใหญ่ ที่มีระบบป้องกันการสั่นไหวของภาพแบบ OIS ที่เป็น Sensor shift แบบเดียวกับใน iPhone 12 Pro Max ทำให้มันถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้ดีขึ้น สามารถรับแสงได้มากขึ้น 47%
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะเป็นกล้องหลังแบบ 3 เลนส์ (มุมกว้าง, อัลตราไวด์ และเทเลโฟโต้) กล้องมุมกว้าง (กล้องหลัก) เปลี่ยนเป็นรูรับแสงที่กว้างถึง f/1.5 ส่วนกล้องอัลตราไวด์ ก็ใช้รูรับแสง f/1.8 ที่มีเพิ่มความสามารถในการถ่ายมาโครระยะ 2 เซนติเมตร ได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ
รวมถึงยังมี LiDAR Sensor ในการช่วยจับระยะโฟกัสได้แม้ในที่แสงน้อย สเปคใหม่ของกล้องจึงทำให้สามารถเก็บรายละเอียดของแสงเวลากลางคืนได้ดีขึ้น ทำงานร่วมกับ ISP ของ A15 Bionic ก็ยิ่งทำให้ภาพที่ได้สวยสมบูรณ์กว่าที่เคย
Cinematic Mode ถ่ายวิดีโอปรับโฟกัสอย่างกับถ่ายหนัง HDR Dolby Vision
ฟีเจอร์ใหม่ในการถ่ายวิดีโอ ที่คุณแค่กดถ่าย จากนั้นไอโฟนจะจัดการให้เอง ในการจับโฟกัสของบุคคลในเฟรมภาพ เพื่อปรับระยะเบลอแบบชัดลึกชัดตื้นได้อย่างสวยงาม เป็นธรรมชาติ และตัดสลับระยะได้เหมือนกับการใช้กล้องพร้อมเลนส์ระดับโปรถ่ายได้เลย แถมถ่ายวิดีโอมาแล้ว ก็เอามา Edit เปลี่ยนทีหลังได้ด้วย
และโหมดภาพยนตร์ หรือ Cinematic Mode ยังรองรับใช้ได้ทั้งในกล้องไวด์ เทเลโฟโต้ รวมถึงกล้องหน้า TruDepth ก็ใช้ได้ด้วยเช่นกัน
ถ่ายวิดีโอได้ระดับโปร บันทึกได้แบบ ProRes
แอปเปิลยกระดับความบ้าพลังในกล้องของ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ขึ้นไปอีกครั้ง จากปีที่แล้วที่รองรับการบันทึกภาพถ่ายแบบ ProRAW มาปีนี้ ได้เพิ่มมาตรฐานในการบันทึกวิดีโอแบบ ProRes ที่บันทึกไฟล์วิดีโอแล้วนำไปทำงานต่อด้านโปรดักชั่นแบบมืออาชีพได้ หรือจะตัดต่อในไอโฟนของคุณก็ยังไหว
แต่ต้องบอกว่า ฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอ ProRes จะใช้ได้กับ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max รุ่นความจุตั้งแต่ 256GB ขึ้นไปเท่านั้น เพราะว่าตัวไฟล์ที่ถ่ายจะมีขนาดใหญ่โตมโหฬารมากๆ จึงจำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการเก็บไฟล์ที่ใหญ่มากด้วย
กล้องหลัง iPhone 13 และ iPhone 13 mini กล้องคู่ที่ดีสุดเท่าที่ Apple เคยมีมา
สำหรับ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ที่แม้ว่าจะเป็นกล้องคู่แบบไวด์ และอัลตราไวด์ แต่ก็ฉลาดและถ่ายรูปได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ มีโหมดการถ่ายภาพกลางคืนที่ดีขึ้น ให้ความคมชัดและน้อยส์ที่น้อยลง, โหมดถ่ายภาพบุคคลที่เบลอฉากหลังได้สวยงาม, ถ่ายภาพ HDR โดยแยกแยะบุคคลในภาพได้ถึง 4 ใบหน้า ปรับโทนสีแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม
และยังมีฟีเจอร์ใหม่ในการถ่ายภาพ กับ “สไตล์ภาพถ่าย” ที่บันทึกภาพแล้วบันทึกโทนของภาพเก็บไว้เป็นโปรไฟล์ ให้คุณถ่ายคุณโทนตามสไตล์แบบที่คุณชอบได้
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ต่างกันแค่ขนาดหน้าจอ และแบตเตอรี่
ปีที่แล้ว iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะมีคุณสมบัติของกล้องหลังที่มีความสามารถแตกต่างกัน แต่มาในปีนี้ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max เรื่องกล้องคือสเปคเดียวกัน
ดังนั้นจุดต่างจะเหลือแค่ขนาดของหน้าจอและแบตเตอรี่เท่านั้น ก็ช่วยให้คุณเลือกได้ง่ายขึ้น ว่าถ้าอยากได้เครื่องเล็กถือถนัดก็เป็น iPhone 13 Pro ส่วนใครอยากจัดเต็มจอใหญ่แบตอึด ก็เลือก iPhone 13 Pro Max ได้เลย
ใช้งาน iOS 15 ได้ครบทุกฟีเจอร์ เต็มรูปแบบ
ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุดที่เปิดให้อัปเดตใช้ได้กับ iPhone รุ่นเก่าๆ แต่ก็มีหลายฟีเจอร์ใหม่ที่รองรับกับ iPhone 13 series ดังนั้นถ้าใครอยากได้ประสบการณ์ใน iOS 15 แบบครบถ้วนทุกฟีเจอร์ ก็เลือกรุ่นใหม่นี้กันได้เลย
บอกลา 64GB เพราะเริ่มต้นก็ที่ 128GB เลย และมีให้เลือกใหญ่สุดถึง 1TB
เรื่องที่น่ายินดี ที่ตอนนี้ความจุของ iPhone 13 ทุกรุ่น ใหญ่กว่ารุ่นก่อนถึง 2 เท่า โดยจะเริ่มต้นขนาดเล็กสุดที่ 128GB ทำให้คุณสามารถเก็บไฟล์ภาพ วิดีโอ และติดตั้งแอปได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ใน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีเพิ่มขนาดความจุให้ได้เลือกมากถึง 1TB ถือว่าเป็นความจุที่ใหญ่สุดเท่าที่ Apple เคยให้มาในไอโฟน ให้คุณเอาไว้เก็บไฟล์ขนาดใหญจำนวนมากๆ ได้แบบไม่ต้องกลัวพื้นที่เต็ม
สรุป ราคา เปิดตัวของ iPhone 13 ทุกรุ่น
iPhone 13 และ iPhone 13 mini มีให้เลือก 5 สีคือ สีชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT)RED โดยความจุเริ่มต้นจะมากกว่าเดิมเป็น 2 เท่า คือ 128GB และมีรุ่น 256GB และ 512GB ให้เลือก
- iPhone 13 ความจุ 128GB ราคา 29,900 บาท
- iPhone 13 ความจุ 256GB ราคา 33,900 บาท
- iPhone 13 ความจุ 512GB ราคา 41,900 บาท
- iPhone 13 mini ความจุ 128GB ราคา 25,900 บาท
- iPhone 13 mini ความจุ 256GB ราคา 29,900 บาท
- iPhone 13 mini ความจุ 512GB ราคา 37,900 บาท
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มีให้เลือก 4 สี คือ สีกราไฟต์, ทอง, เงิน และเซียร์ร่าบลู ในความจุ 128GB, 256GB, 512GB และครั้งแรกที่มีความจุ 1TB ให้เลือกอีกด้วย
- iPhone 13 Pro ความจุ 128GB ราคา 38,900 บาท
- iPhone 13 Pro ความจุ 256GB ราคา 42,900 บาท
- iPhone 13 Pro ความจุ 512GB ราคา 50,900 บาท
- iPhone 13 Pro ความจุ 1TB ราคา 58,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max ความจุ 128GB ราคา 42,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max ความจุ 256GB ราคา 46,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max ความจุ 1TB ราคา 62,900 บาท
โปรโมชัน iPhone 13 ที่ดีที่สุดจาก AIS (เอไอเอส) ที่ให้คุณมากกว่าใคร
iPhone 13 พร้อมเปิดให้สั่งจองล่วงหน้า Pre-order ในประเทศไทย ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 เวลา 0.00 น. ที่ต้องบอกว่า ทาง AIS 5G เครือข่าย 5G ที่ดีที่สุด ก็มี โปรโมชัน ราคา สุดพิเศษสำหรับลูกค้าเอไอเอส รวมถึงบริการที่จะให้คุณใช้ iPhone 13 ได้เต็มประสิทธิภาพ และสัมผัสประสบการณ์ 5G ที่เร็วแรงที่สุดอีกด้วย
สามารถจองได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1-3 ตุลาคม นี้ https://m.ais.co.th/n1HYPQ8tq