Facebook กำลังทดสอบตัวเลือกในการควบคุมใหม่ๆ ทั้งสำหรับผู้ใช้งานบุคคลทั่วไปและผู้ลงโฆษณา เพื่อจะควบคุมสิ่งที่มีอิทธิพลที่ขึ้นให้ผู้ใช้เห็น รวมถึงช่วยให้แบรนด์ต่างๆ หลีกเลี่ยงการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือการเชื่อมโยงผ่านตำแหน่งของการลงโฆษณาในแอป
อย่างแรก Facebook ต้องการทำตัวเลือกการควบคุมหน้า News Feed สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปให้หาเจอได้ง่ายขึ้น ในขณะที่เปิดสิทธิ์ให้ผู้คนสามารถลดประเภทคอนเทนต์บางประเภทได้จากหน้า News Feed ของพวกเขา
ส่วนหนึ่งของตัวเลือกนี้ ผู้คนสามารถ เพิ่ม/ลด ปริมาณคอนเทนต์ที่พวกเขาเห็นได้จากเพื่อนๆ ครอบครัว กลุ่มต่างๆ เพจที่พวกเขาเชื่อมต่อด้วย และหัวข้อที่พวกเขาสนใจเพื่อใช้ตั้งค่า News Feed ของพวกเขา
Facebook อธิบาย Content Controls for News Feed เอาไว้ในหน้าเว็บ
การตั้งค่าหน้า News Feed ของ Facebook จะช่วยเพิ่มการควบคุมสิ่งที่ขึ้นแสดงในหน้า News Feed ของแต่ละคน ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกโปรไฟล์ที่ชื่นชอบซึ่งจะได้รับลำดับความสำคัญที่สูงขึ้นเมื่อพวกเขาเหล่านั้นทำการโพสต์ , กดเลิกติดตามเพจ เลิกติดตามบุคคล เลิกติดตามหัวข้อ และเพื่อปิด (snooze) เพจ/ผู้ใช้งานบางราย
และหลังจากนี้ จะมีตัวเลือการควบคุมเพิ่มเติมให้เลือกอีก ด้วยความสามารถในการเพิ่ม/ลด คอนเทนต์ที่ผู้ใช้แสดงจากแต่ละองค์ประกอบ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าการทำงานของมันเป็นอย่างไร และมีส่วนใดบ้าง
หนึ่งในข้อกังวลที่ผู้ใช้งานมีต่อ Facebook คือ การขยายอัลกอริทึม (Algorithmic amplification) ที่ก่อนหน้านี้ Frances Haugen อดีตพนักงานของ Facebook เป็นผู้แจ้งเบาะแสและนำมาเปิดเผยให้ทราบถึงผลกระทบด้านลบของแพลตฟอร์ม โดย Haugen แจ้งกับทางวุฒิสภาของสหรัฐฯว่าโซเชียลมีเดียควรมีการบังคับให้หยุดใช้อัลกอริทึมที่อิงตามการมีส่วนร่วมทั้งหมด โดยแจ้งผ่านการปฏิรูปกฎหมายมาตรา 230
Facebook ยอมรับว่าการจัดอันดับตามการมีส่วนร่วมนั้นเป็นอันตราย หากปราศจากความซื่อสัตย์และระบบความปลอดภัยที่รัดกุม แต่ทาง Facebook เองก็ไม่ได้เปิดตัวหรือแสดงออกซึ่งความซื่อสัตว์และระบบความปลอดภัยในภาษาส่วนใหญ่ของโลก มันจะยิ่งที่ให้ครอบครัวนั้นแยกออกจากกัน และในบางประเทศ เช่น เอธิโอเปีย มันคือการพัดพาความรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องชาติพันธุ์ให้ทวีความแรงขึ้นไปอีก
คำอธิบายบางส่วนของ Frances Haugen ต่อสมาชิกวุฒิสภา
ในมุมมองของ Frances Haugen นั้น อัลกอริทึมเหล่านี้เป็นสิ่งที่จูงใจให้เกิดพฤติกรรมเชิงลบ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมมากขึ้น ที่อาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย
มันเป็นการยากที่จะกำหนดผลกระทบที่แท้จริงจากอัลกอริทึมดังกล่าว แต่มันค่อนข้างชัดเจนว่าอัลกอริทึมของ Facebook ได้เปลี่ยนวาทกรรมสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเผยแพร่ข่าวต่างๆ ที่ต้องการเพิ่มการโต้ตอบกันในโพสต์ Facebook ของตนให้สูงที่สุดเพื่อเพิ่มยอด reach หรือการเข้าถึง ซึ่งมักจะเกี่ยวกับข่าวที่ทำให้เกิดความเห็นต่าง เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก ข่าวที่เน้นสร้างความแตกแยก และทำให้เกิดวิวาทะและการโต้แย้งกันมากขึ้น ท้ายสุดจะนำไปสู่ความโกรธ ความขัดแย้ง และความแตกแยกกันมากขึ้น
ดังนั้น การมีการควบคุมสำหรับ News Feed น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่ช่วยให้ผู้ใช้จำกัดผลกระทบที่จะเกิดจากสิ่งที่ Frances Haugen กล่าวไว้ แต่เราคงต้องรอดูรายละเอียดอีกว่า Facebook จะเปิดใช้งานสิ่งนี้อย่างไร เนื่องจาก Facebook กล่าวว่าจะเริ่มทดสอบตัวเลือกการควบคุมใหม่ในคนกลุ่มเล็กๆ และจะค่อยๆ ขยายตัวในอีกไม่กี่สัปดาห์ล่วงหน้า
นอกจากนี้ Facebook ยังขยายการควบคุมการยกเว้นหัวข้อสำหรับหน้า News Feed สำหรับผู้ลงโฆษณาในจำนวนจำกัดที่แสดงโฆษณาเป็นภาษาอังกฤษ
การควบคุมการยกเว้นหัวข้อของผู้โฆษณา ทำให้ผู้ลงโฆษณาสามารถเลือกหัวข้อเพื่อช่วยกำหรดวิธีที่ Facebook จะแสดงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม รวมถึงหน้า News Feed
โดยผู้ลงโฆษณาสามารถเลือกหัวข้อได้ 3 หัวข้อ 1 ข่าวสารและการเมือง 2 ประเด็นสังคม และ 3 อาชญากรรมและโศกนาฏกรรม เมื่อผู้โฆษณาเลือกหนึ่งหัวข้อหรือมากกว่านั้น โฆษณาของพวกเขาจะไม่ถฟูกส่งไปยังผู้ที่เพิ่งมีส่วนร่วมกับหัวข้อเหล่านั้นในหน้า News Feed ของพวกเขา
Facebook อธิบายเกี่ยวกับ topic exclusion control สำหรับผู้ลงโฆษณา
โดยพื้นฐานแล้ว การควบคุมดังกล่าวจะช่วยผู้ลงโฆษณาให้สามารถหลีกเลี่ยงการเชื่อมโยงที่ไม่ต้องการกับหัวข้อเหล่านี้ รวมถึงการพูดคุย/ถกเถียงกันถึงหัวข้อเหล่านี้ นี่อาจเป็นสิ่งที่ Facebook จะช่วยรับรองแบรนด์ต่างๆ ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบด้านลบจากสิ่งเหล่านี้อีก
Facebook กล่าวถึงการทดสอบในช่วงแรกว่า การยกเว้น (exclusion) นั้นประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำให้มั่นใจว่าโฆษณาจะไม่ไปแสดงควบคู่กับการสนทนาหัวข้อนั้นๆ ในแอป
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการตอบโต้ในเชิงลบบนแพลตฟอร์ม Facebook ควรจัดให้มีการควบคุมที่มากขึ้นเพื่อช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานให้สอดคล้องกับความคาดหวังและความสนใจ ในขณะเดียวกัน มันจะเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับทั้งแบรนด์และผู้ใช้งานมากขึ้น
ที่มา : SocialMediaToday