Huawei Watch D สมาร์ทวอทช์ มีเซ็นเซอร์ วัดความดันโลหิต และ ECG

ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Huawei นั้น นอกจากจะมีการเปิดตัว Huawei P50 Pocket แล้ว ยังมีการเปิดตัวสมาร์ทวอทช์ Huawei Watch D ด้วย

เริ่มกันที่เรื่องของดีไซน์ Huawei Watch D นั้นทำจากวัสดุที่เป็นอลูมิเนียมสำหรับการบินแบบสั่งทำพิเศษที่มีความแข็งสูง พร้อมให้ความทนทานที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังทนต่อรอยขีดข่วน

หน้าจอแสดงผลของนาฬิกาเป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 1.64 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD ให้ความคมชัดระดับเรตินาที่ 326 PPI และมีน้ำหนักที่เคลมว่าหนักเพียงแค่หนึ่งในหกของเครื่องวัดความดันโลหิตแบบเดิม

Huawei Watch D

Huawei ระบุว่ามีการทดสอบความเรื่องความหนาแน่นของอากาศอย่างเข้มงวด ทำให้ Huawei Watch D นั้นได้มาตรฐานกันน้ำและกันฝุ่นที่ IP68 และยังเป็นสมาร์ทวอทช์เรือนแรกของอุตสาหกรรมที่รองรับการตรวจวัดความดันโลหิตที่มาพร้อมกับมาตรฐานดังกล่าว

การตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจจะทำผ่านเซ็นเซอร์ออปติคัลความไวสูง 8 ช่องสัญญาณ และยังรอบรับโหมดกีฬามากกว่า 70 โหมด

แน่นอนว่าฟีเจอร์ที่เป็นไฮไลท์หลักของนาฬิการุ่นนี้คือการตรวจสอบความดันโลหิตอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยการติดตั้งไมโครปั๊มที่มีขนาดเล็กและมีความสามารถในการอัดที่ 40kPa อยู่ภายใน ทำให้สามารถวัดความดันโลหิตได้อย่างแม่นยำตั้งแต่ 40 – 230 มิลลิเมตรปรอท

นาฬิกายังมาพร้อมอัลกอริทึมการวัดแบบไฮบริดที่ Huawei พัฒนาขึ้นเองโดยใช้การประมวลผลของ AI เพื่อปรังปรุงความสามารถในการตรวจจับของนาฬิกา

Huawei Watch D

การวัดความดันโลหิต หรือ BP นั้นจับคู่มาพร้อมกับการวัด ECG หรือการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นการทดสอบเพื่อตรวจจังหวะการเต้นของหัวใจและกิจกรรมทางไฟฟ้าของผู้สวมใส่ โดยทาง Huawei กล่าวว่าการวัด BP 6 ครั้งและ ECG 5 ครั้งต่อวันยังคงทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่นั้นนานสูงสุดถึง 7 วัน และนาฬิการุ่นนี้รองรับฟังก์ชันการชาร์จแบบไร้สาย

Huawei ยังนำเสนอบริการทางการแพทย์และสุขภาพต่างๆ ที่ครอบคลุมถึงเรื่องอาหาร การนอนหลัง และการออกกำลังกายซึ่งผู้สวมใส่สามารถแชร์ข้อมูลสุขภาพกับแพทย์ได้โดยตรง แล้วสามารถจัดทำแผนการจัดการสุขภาพตามข้อมูลที่ได้ เป็นไปได้ว่าบริการดังกล่าวจะมีจำกัดเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 599 หยวน หรือประมาณ 3,160 บาท

Huawei Watch D มีให้เลือกระหว่างสี Classic Black กับ Elegant Titanium ในราคา 2,988 หยวน หรือประมาณ 15,800 บาท จะเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 25 ธันวาคมนี้

ที่มา : Gizmochina

นักเขียนหน้าใหม่ ผู้หลงไหลในเรื่อง แมว หมี เทคโนโลยี และ โลกของไอที :)