และแล้วกลุ่มนักทฤษฎีสมคบคิดก็กลับมาอีกครั้งกับเป้าหมายการโจมตีเดิมๆ นั่นคือ “5G”
มีคำกล่าวอ้างในแผนสมรู้ร่วมคิดล่าสุดว่า เป็นเพราะ 5G ทำให้ผู้คนติดไฟขึ้นเองตามธรรมชาติ (ประมาณว่า อยู่ๆ ก็ไฟลุกที่ตัวและเผาไหม้คนๆ นั้น) ไปจนถึงตัวระเบิด ตามที่ต่างๆ ของโลกหลังจากเครือข่ายมือถือเปิดให้มีการใช้งาน 5G ขึ้นในที่นั้นๆ
แน่นอนว่าคำกล่าวอ้างดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด แต่มันกลับแพร่กระจายบนอินเทอร์เน็ตเหมือนกับไฟลามทุ่ง
เมื่อคำกล่าวอ้างแพร่กระจายออกไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลกระทบในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากจะมีการเปิดใช้งาน 5G ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคา 2022
ย้ำอีกครั้งว่าคำกล่าวอ้างดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง ผู้คนไม่มีไฟลุกขึ้นที่ตัวและตัวไม่ระเบิดเพราะ 5G อย่างแน่นอน ในความเป็นจริง มีการทดสอบใช้งาน 5G ก่อนหน้าการเปิดตัวมาระยะหนึ่งก่อนแล้ว มันไม่ได้เปิดใช้งานได้กะทันหันแต่อย่างใด แต่กลับไม่มีคำกล่าวอ้างใดๆ ก่อนหน้านี้มากนัก
นอกจากคำกล่าวอ้างที่แพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ตแล้ว ยังมีวิดีโอบน Facebook , TikTok และ Telegram ที่อยู่ๆ ก็มีคนล้มลงกะทันหันและมีควันพุ่งออกมาจากใบหน้าของเขา โดยวิดีโอเหล่านี้ถูกใช้เป็นหลักฐานเพื่อยืนยันว่าคำกล่าวหานั้นเกิดขึ้นจริง
แต่เมื่อสืบหาความจริงที่มาของวิดีโอ พบว่า วิดีโอนี้เป็นของจริง แต่ไม่เกี่ยวข้องกับคำกล่าวอ้างว่าคนติดไฟได้เองตามธรรมชาติ แต่มันคือวิดีโอของกลุ่มผู้ประท้วงในอิรักที่ถูกยิงด้วยแก๊สน้ำตาในระยะเผาขนในปี 2019
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีทฤษฎีสมคบคิดและคำกล่าวอ้างมั่วๆ เกี่ยวกับ 5G และวัคซีน COVID-19 มาแล้ว โดยมีคำกล่าวอ้างว่า 5G นั้นส่งผลกระทบเลวร้ายกับผู้ที่ได้รับวัคซีน จนนำไปสู่การที่มีผู้คนออกมาประท้วงไปจนถึงขั้นเผาเสาสัญญาณ 5G ในบางประเทศ
เพื่อความชัดเจน ขอเน้นย้ำว่า ไม่มีความเชื่อมโยงและผลกระทบใดๆ ระหว่าง 5G วัคซีน และ COVID-19
ทางด้านผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สาย 5G ในสหรัฐฯ เช่น AT&T และ Verizon ประกาศเลื่อนวันเปิดให้บริการ 5G ทั่วประเทศออกไป ไม่ใช่เพราะกลัวคำกล่าวอ้างข้างต้นแต่อย่างใด แต่เครือข่ายมีความกังวลเรื่องสัญญาณ 5G อาจรบกวนระบบการบิน โดยมีกำหนดการเปิดตัวใหม่ในวันที่ 19 มกราคม 2022
ที่มา : Mashable