ถ้ากล่าวถึงวิดีโอเกมฟุตบอลแล้ว มั่นใจว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเกมที่ชื่อว่า FIFA อย่างแน่นอน
เกมฟุตบอล FIFA เป็นแฟรนไชส์วิดีโอเกมที่เป็นผลงานการพัฒนาโดย Electronic Arts หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อ EA Sports โดยที่เกม FIFA นั้นมักจะออกมาตีตลาดแข่งกับเกมฟุตบอลจากค่าย KONAMI อย่างเกม Perfect Eleven จนถึง Winning Eleven หรือ Pro Evolution Soccer (PES) ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น eFootball แล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021
แฟรนไชส์เกมฟุตบอล FIFA เปิดตัวครั้งแรกด้วยเกม FIFA International Soccer ในเดือนธันวาคม 1993 บนเครื่องเกม Mega Drive โดยมีให้เลือกเล่นเฉพาะทีมฟุตบอลทีมชาติเท่านั้น ยังไม่มีทีมระดับสโมสรให้เลือกเล่น ซึ่ง ณ เวลานั้น EA Sports มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะพัฒนาเกมฟุตบอลให้ประสบความสำเร็จแบบที่เคยทำไว้กับซีรีส์เกมอเมริกาฟุตบอลอย่าง Madden NFL ทำให้บริษัททุ่มเท มุ่งมั่น และตั้งใจอย่างต่อเนื่องมาตลอด ด้วยการมีชื่อ FIFA ที่เป็นชื่อของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติที่ใครได้ยินก็จะรู้สึกคุ้นหูและทำให้นึกถึงเกมฟุตบอลได้ง่ายขึ้น
การที่ EA Sports ได้รับความร่วมมือจาก FIFA ถือเป็นส่วนสำคัญมากในการพัฒนาตัวเกมฟุตบอล แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันคือการได้มาซึ่งฐานข้อมูลนักฟุตบอล รวมไปถึงเรื่องลิขสิทธิ์ต่างๆ ที่จะนำมาลงในวิดีโอเกม
ความร่วมมือกันระหว่าง EA Sports และ FIFA นั้นส่งผลให้ Win-Win ทุกฝ่าย โดยที่
- EA Sports มีข้อมูลนักฟุตบอลไว้ใช้พัฒนาเกมฟุตบอลที่ละเอียดซึ่งเป็นจุดขายของซีรีส์เกม FIFA
- FIFA ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมหาศาลในทุกๆ ปีที่มีแฟรนไชส์เกมฟุตบอล FIFA ออกสู่ตลาดเกม และ
- ผู้เล่นได้เกมฟุตบอลที่สมจริง ทั้งชื่อนักฟุตบอลและชื่อสโมสร
โดยเฉพาะ EA Sports ที่สร้างยอดขายได้มากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม งานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกรา ในที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 บริษัทก็มาถึงตอนอวสาน โดย EA Sports ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป เกมฟุตบอลของค่ายจะไม่ใช้ชื่อ FIFA อีกต่อไปแล้ว แต่จะใช้ชื่อว่า “EA Sports FC” แทน พร้อมทั้งตามมาด้วยกระแสไวรัลบนโลกโซเชียลที่มีสโมสรฟุตบอลต่างๆ ทั่วโลก รวมไปถึงลีกฟุตบอลต่างๆ ที่พากันโพสต์ข้อความเหมือนการบอกเป็นนัยๆ ว่าทีมและลีกเหล่านั้นจะมีอยู่ในแฟรนไชส์เกมฟุตบอลใหม่ของทาง EA Sports แน่นอน ปิดตำนาน 29 ปีของแฟรนไชส์เกมฟุตบอล FIFA อย่างเป็นทางการ
อะไรเป็นสาเหตุให้ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทนั้นจบลง?
เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยไม่ต่างกันว่า ทำไมทั้ง 2 บริษัทถึงตัดสินใจยุติความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี สื่อ The New York Times รายงานว่าต้นเหตุเกิดจาก FIFA นั้นเรียกร้องสัญญาใหม่จากทาง EA Sports ที่มีมูลค่าสูงกว่าเดิมมากๆ โดยเม็ดเงินที่ FIFA ได้รับจาก EA Sports ในสัญญาเดิมคือปีละ 150 ล้านดอลลาร์ แต่ตัวเลขที่เรียกร้องในสัญญาฉบับใหม่นั้นสูงกว่าเดิมเกือบ 2 เท่า
เมื่อการเจรจาไม่ลงตัวและกินเวลานานหลายเดือนโดยไม่มีความคืบหน้าหรือวี่แววที่จะได้ข้อสรุปที่ลงตัวกับทุกฝ่าย สุดท้ายจึงจบลงด้วยการแยกทางกันระหว่างทั้ง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่
มุมมองของ FIFA ที่เรียกเงินในสัญญาฉบับใหม่ที่สูงขึ้นอย่างมากเพราะบริษัทมองว่าการมอบลิขสิทธิ์ให้แก่ทาง EA Sports ไปพัฒนาเกมแต่เพียงผู้เดียวนั้นเหมือนเป็นการตัดโอกาสในการสร้างรายได้กับสตูดิโอผู้พัฒนาเกมที่มีศักยภาพรายอื่นๆ ไป ดังนั้นจำนวนตัวเลขที่ขอเพิ่มขึ้นจึงเป็นการชดเชยค่าเสียโอกาสส่วนนั้นไป นอกจากตัวเลขที่ขอเพิ่มขึ้นแล้ว FIFA ยังขอไม่สงวนสิทธิ์ในชื่อ FIFA ให้กับแฟรนไชส์เกมเพียงเกมเดียว
ด้วยเหตุนี้เอง EA Sports รู้สึกว่า FIFA นั้นเรียกร้องมากเกินไปแล้ว และเป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะทนเห็นคำว่า FIFA ปรากฏในชื่อเกมฟุตบอลอื่นๆ ในตลาด
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทางฝั่ง FIFA เองก็ออกมายืนยันว่าจะเปิดตัวเกมฟุตบอลที่สมจริงและพร้อมเป็นคู่แข่งกับ EA Sports FC โดย Gianni Infantino ประธาน FIFA ให้คำมั่นสัญญาเลยว่าเกมฟุตบอลใหม่นั้นจะเป็นเกมฟุตบอลของแท้ที่มีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ และจะเป็นเกมฟุตบอลที่ดีที่สุดทั้งสำหรับแฟนๆ ลูกหนังและเกมเมอร์ โดยจะนำชื่อ FIFA มาใช้ต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อ FIFA ประกาศเรื่องดังกล่าวออกไป เป็นเหตุให้ EA Sports ตัดสินใจเลิกใช้ชื่อ FIFA ทันที โดยจะนำเอาประสบการณ์ องค์ความรู้ และความสัมพันธ์ที่มีกับองค์กรณ์ต่างๆ มาใช้พัฒนาแฟรนไชส์เกมฟุตบอลใหม่ที่ชื่อ EA Sports FC โดย EA Sports ให้คำมั่นสัญญาว่า เกมนี้แหละที่จะเป็นอนาคตของเกมฟุตบอล
ปัจจุบัน EA Sports มีพันธมิตรกว่า 300 แห่งทั่วโลกที่ยินดีเซ็นสัญญามอบลิขสิทธิ์ให้ไปพัฒนาเกมฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็นลีกฟุตบอลยอดนิยมอย่างพรีเมียร์ลีกของอังกฤษหรือจะเป็นแชมเปียนส์ลีก
แม้ความร่วมมือของทั้ง 2 บริษัทจะจบลง แต่ เกม FIFA 23 ที่เป็นจะเป็นเกมฟุตบอลที่มีชื่อ FIFA เวอร์ชันสุดท้ายของ EA Sports นั้นจะออกในเดือนกันยายน 2022 นี้
ที่มา : The New York Times
