Qualcomm เปิดตัว Smart Viewer แว่นตาที่ใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) แบบไร้สาย โดยผู้ผลิตกล่าวถึงการออกแบบเอาไว้ว่าสามารถปรับใช้งานคู่กับหูฟังได้ด้วย
Wireless AR Smart Viewer เป็นการอัปเดตการออกแบบแว่นตาอัจฉริยะรุ่นก่อนของ Qualcomm ด้วยการใช้งานชิปเซ็ตที่ใช้พลังงานที่ประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม บวกกับระบบปล่อยสัญญาณ Wi-Fi 6/6E และ Bluetooth แทนสาย USB-C แต่อาจต้องแลกมาด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่สั้นมาก
อย่างไรก็ตาม Qualcomm กล่าวว่าที่พร้อมจะขายสำหรับผู้ใช้งานจริงอาจทำออกมาแตกต่างจากเวอร์ชันที่กล่าวในข้างต้น
Smart Viewer รุ่นใหม่นี้พัฒนาขึ้นโดย Goertek โดยขณะนี้มีให้บริการสำหรับพาร์ทเนอร์การผลิตบางรายโดยมีแผนจะขยายการเข้าถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แว่นตาสามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์/คอมพิวเตอร์ได้เหมือนกับแว่นรุ่นก่อนโดยมอบประสบการณ์ Mixed Reality ด้วยความสามารถในการติดตามหัวและมือแบบเต็มรูปแบบ โดยการใช้กล้องติดตามและฉายภาพโดยขับเคลื่อนด้วยจอแสดงผล micro-OLED โดยรักษาความละเอียด 1920×1080 แบบรุ่นก่อนหน้าและ refresh rate 90Hz แต่จะลดขอบเขตการมองเห็นให้เล็กลงกว่าเดิมจาก 45 องศาเป็น 40 องศาในแนวทแยง
แว่น Wireless AR Smart Viewer ใช้ชิป Snapdragon XR2 ของ Qualcomm ที่มีพลังงานในการประมวลผลมากขึ้นกว่า Snapdragon XR1 ในรุ่นก่อนหน้า และเวลาแฝงเพียง 3 มิลลิวินาทีระหว่างที่เชื่อมต่อแว่นตาเข้ากับโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตาม เรื่องชุดหูฟังนั้นอยู่ในแผนงานของ Qualcomm มาหลายปีแล้ว แต่บริษัทยังคงโฟกัสไปที่เทคโนโลยี AR ด้วยการทำแว่นตาประสิทธิภาพการประมวลผลสูงแต่ไม่สูบแบตเตอรี่ให้หมดไว โดย Hugo Swart หัวหน้าแผนก AR/VR ของ Qualcomm บอกกับนักข่าวว่าประสบการณ์ Virtual ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดนั้นสามารถใช้แบตเตอรี่ 650mAh ของชุดหูฟังได้ 30 นาที แต่เพื่อการใช้งานที่นานขึ้น ผู้ใช้งานยังสามารถเสียบชาร์จแบตเตอรี่ด้วยสายเคเบิลได้
ก่อนหน้านี้ Qualcomm ได้ยึดดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ เป็นไอเดีย เช่น แว่นตา Nreal Light และแว่นตา Lenovo ThinkReality A3 เป็นต้น
Hugo Swart ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องการผลิตอีกว่า Qualcomm ทำงานร่วมกับผู้ผลิตอย่าง 4 รายแต่ไม่สามารถบอกชื่อได้ และยังไม่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ว่าเมื่อไหร่จะเริ่มวางขาย เราคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าแว่นตา AR ของ Qualcomm รุ่นที่จะให้ออกขายจริงให้ผู้ใช้นั้นจะในรูปแบบไหนกันแน่ ติดตามดูกันต่อไป
ที่มา : The Verge