นักวิจัยชื่อ Felix Krause ค้นพบว่าหากคุณเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่อยู่บน Facebook และ Instagram แล้วล่ะก็ คุณอาจสังเกตเห็นว่าเมื่อกดเข้าไปแล้วไม่ได้ถูก re-direct ไปยังเบราเซอร์ที่คุณเลือก แต่กลับเป็น เว็บเบราเซอร์ ในแอปที่กำหนดเอง ปรากฏว่าเบราเซอร์เหล่านั้นมีการแทรกโค้ดจาวาสคริปต์ลงในแต่ละเว็บไซต์ที่ถูกเข้าไปเยี่ยมชม และเปิดช่องให้ Meta สามารถติดตามการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ ของผู้ใช้ได้
Krause กล่าวไว้ในบล็อกโพสต์ของเขาว่า แอป Instagram มีการแทรกโค้ดติดตามลงไปในทุกเว็บไซต์ที่แสดง รวมถึงเมื่อผู้ใช้กดคลิกไปที่โฆษณาด้วย ซึ่งมันช่วยให้ Meta สามารถตรวจสอบการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้ทั้งหมดได้ เช่น ทุกปุ่มและทุกลิงก์ที่ถูกคลิก , การลากครอบเพื่อเลือกข้อความ , การบันทึกภาพหน้าจอ ตลอดจนการ input ข้อมูลต่างๆ เช่น รหัสผ่าน ที่อยู่ หมายเลขบัตรเครดิต
การวิจัยของ Krause นั้นโฟกัสไปที่ Facebook และ Instagram เวอร์ชัน iOS เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่ Apple นั้นอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มีการติดตามแอปเมื่อเปิดใช้แอปเป็นครั้งแรกผ่าน App Tracking Transparency หรือ ATT ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 14.5 ซึ่งแน่นอนว่าฟีเจอร์ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากต่อธุรกิจของ Meta และทำให้บริษัทสูญเสียรายได้มหาศาล
ทางฝั่ง Meta กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า โค้ดติดตามที่แทรกเข้าไปนั้นเป็นไปตามการตั้งค่าของผู้ใช้ (users preferences) บน ATT
โค้ดดังกล่าวช่วยให้เราสามารถรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ ก่อนจะนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำโฆษณาหรือการวัดผล
เราไม่ได้ทำการเพิ่มพิกเซลใดๆ โค้ดเหล่านั้นถูกแทรกไว้เพื่อให้เราสามารถรวมเหตุการณ์การแปลงค่าจากพิกเซลได้
สำหรับการซื้อผ่านเบราเซอร์ในแอป เราได้ขอความยินยอมจากผู้ใช้เพื่อบันทึกข้อมูลการชำระเงินเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้อนข้อความอัตโนมัติ
โฆษก Meta กล่าวกับสื่อ The Guardian
Krause ตั้งข้อสังเกตว่า Facebook นั้นไม่จำเป็นต้องแทรกโค้ดจาวาสคริปต์เพื่อรวบรวมข้อมูลสำคัญ อย่างไรก็ตาม หากแอปได้ทำการเปิดเบราเซอร์ที่ผู้ใช้ต้องการ เช่น Safari หรือ FireFox จะไม่มีวิธีการแทรกจาวาสคริปต์บนเว็บที่เป็น secure site ใดๆ ในทางตรงกันข้าม เขากล่าวเสริมว่า วิธีการที่ เว็บเบราเซอร์ ในแอป Facebook และ Instagram ใช้นั้น ใช้ได้กับทุกเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเข้ารหัสหรือไม่ก็ตาม
จากการวิจัยของ Krause พบว่า WhatsApp ไม่ได้แก้ไขเว็บไซต์ของบุคคลที่สามในลักษณะเดียวกันแบบที่ Facebook และ Instagram ทำ ดังนั้น เขาจึงแนะนำว่า Meta ควรทำให้เป็นแบบเดียวกันกับ Facebook และ Instagram หรือเพียงแค่ใช้ Safari หรือเบราเซอร์อื่นๆ เพื่อเปิดลิงก์ ซึ่งเขามองว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้และสิ่งที่ Meta ควรทำ
ที่มา : ENGADGET