ถึงแม้สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ดูเหมือนวิกฤตการขาดแคลนชิปจะยังคงดำเนินอยู่ แม้แต่บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตชิปก็ยังหาชิปมาผลิตเครื่องไม่ได้
C. C. Wei ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ TSMC ขึ้นพูดในงานสัมมนาที่จีนว่าวิกฤตขาดแคลนชิปที่เกิดขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะเป็นชิปที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ที่มีความต้องการสูงขึ้น 15% หรือชิปสมาร์ทโฟนที่ให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลที่เร็วขึ้นกว่าเดิม และช่วยเรื่องการประหยัดพลังงานขึ้นกว่าเดิม 2-3 เท่า (เมื่อเทียบกับชิปของเมื่อ 5 ปีก่อน) นั้นก็ยังคงมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ หรือแม้กระทั่งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่มีความซับซ้อนอะไรมากมาย ก็ยังประสบปัญหาขาดแคลนชิปด้วยเช่นกัน
หนึ่งในผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่อย่าง Apple เองก็ประสบปัญหาขาดแคลนชิปด้วยเช่นกัน โดยการขาดแคลนชิปที่ลากยาวมาตลอดช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมาส่งผลให้รายได้ของบริษัทนั้นหายไปมากถึง 6 พันล้านดอลลาร์ กล่าวคือ ไม่ว่าชิ้นส่วนที่ขาดแคลนไปจะถูก/แพง/สำคัญมาก/สำคัญน้อย ถ้าหากบริษัทไม่สามารถจัดหาให้เพียงพอต่อความต้องการผลิตได้ ผลสุดท้ายบทสรุปก็ออกมาเหมือนกัน นั่นคือ บริษัทไม่สามารถผลิตสินค้าออกมาได้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า
วิกฤตขาดแคลนชิปนั้นดูจะหนักหนาถึงขนาดที่ว่า แม้แต่บริษัท ASML ที่เป็นผู้ผลิตเครื่องจักรที่ใช้สำหรับผลิตชิปก็ยังไม่สามารถหาชิปมาใช้ผลิตเครื่องจักรได้ ซึ่งชิปที่ขาดแคลนนั้นเป็นชิปพื้นฐาน (อย่างเช่น ชิปไดรเวอร์ที่ใช้ควบคุหน้าจอและชิประบบจัดการกับพลังงาน) ที่มีราคาตั้งแต่ 50 เซนต์ ไปจนถึง 10 ดอลลาร์ แต่ก็ยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ส่งผลกระทบต่อระบบซัพพลายเชนเป็นทอดๆ แบบโดมิโน่ เริ่มจากการผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตชิปนั้นล่าช้าออกไป , การส่งมอบเครื่องจักรไปยังโรงงานต่างๆ ล่าช้าไปด้วย และทำให้การส่งมอบชิปให้บริษัทผู้ผลิตสินค้าประเภทต่างๆ ที่ต้องการชิปล่าช้าเป็นทอดๆ ด้วยเหตุนี้เอง C. C. Wei มองว่าหลังจากนี้ราคาของชิปจะยิ่งมีแต่สูงขึ้น ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก จะยิ่งทำให้ราคาของสินค้าในตลาดแพงขึ้นกว่าเดิมตามไปด้วย