รีวิว OPPO Pad Air แท็บเล็ตรุ่นแรกจาก OPPO ดีไซน์บางเฉียบโดนใจสายแฟชั่น ตัวเครื่องเบาเพียง 440 กรัม พกพาสะดวก ฝาหลังพื้นผิวแบบ Sunset dune ด้วยกระบวนการ Reno Glow หน้าจอถนอมสายตาคมชัด 2K พร้อมลำโพงเสียงดี 4 ตัวรองรับ Dolby Atmos
แล้วไม่ได้มาเฉพาะแท็บเล็ต ล้ำหน้าโชว์ รีวิว คู่พร้อมกับ OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Cancelling Earbuds หูฟังไร้สายแบบ True Wireless เสียงสมจริงด้วยไดร์เวอร์ขนาดใหญ่ มีระบบตัดเสียงรบกวน ANC รับฟังทุกความบันเทิงได้เต็มอรรถรส และแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ยาวนานสูงสุดถึง 28 ชั่วโมง
เรามาเริ่มกันที่ OPPO Pad Air กันก่อนเลย ในที่สุด OPPO ก็มีแท็บเล็ตแล้ว ที่มีการออกแบบตัวเครื่องที่มีความสวยงามตามแบบฉบับของ OPPO พร้อมเทคโนโลยีภายในที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ความบันเทิง รวมถึงยังใช้งานเชื่อมต่อร่วมกับสมาร์ทโฟนของ OPPO ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
OPPO Pad Air
มาแกะกล่องดูแพ็กเกจกันก่อนเลย OPPO Pad Air ตัวกล่องจะมาเป็นสีขาวที่หน้ากล่องจะมีรูปของตัวแท็บเล็ต และตัวหนังสือ “Pad” ตัวใหญ่ๆ ระบุให้เห็นชัดเจน
ภายในกล่อง ตัวเครื่องจะห่อซีลพลาสติกเรียบร้อยมาจากโรงงาน ด้านในจะมี เอกสารของคู่มือการใช้งานเบื้องต้น, ข้อมูลการรับประกัน และมีเข็มสำหรับจิ้มถาด microSD มาให้ด้วย
ที่ด้านล่างสุดของกล่องจะมีอุปกรณ์สำหรับชาร์จมาให้พร้อม ไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่มเอง โดยจะมีสายชาร์จแบบ USB-A to USB-C และอะแดปเตอร์ชาร์จ รองรับมาตรฐานชาร์จเร็ว 18W Fast Charge
การออกแบบ – Design
ไม่ทำให้ผิดหวังเลยกับดีไซน์ของ OPPO Pad Air ที่มี DNA ของ OPPO มาอย่างเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ตัวเครื่องที่มีความบางเฉียบเพียงแค่ 6.94 มิลลิเมตร และน้ำหนักเพียงแค่ 440 กรัม
ฝาหลังของเครื่องก็โดดเด่นสะดุดตา กับเทคโนโลยี 3D finishing เป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม ที่เป็นการขึ้นรูปให้ฝาหลังมีลวดลายนูนขึ้นมา ที่ได้แรงบันดาลใจจากแถบเนินทรายยามพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม
โดยในส่วนพื้นผิวใช้กระบวนการ Reno Glow พร้อมการเคลือบ 5 ชั้น ผ่านกรรมวิธี sandblast ขัดด้วยอนุภาคของทรายที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 0.15 มิลลิเตร ทำให้พื้นผิวโลหะดูมีเลเยอร์เพิ่มขึ้น ดูโดดเด่นมากกว่าเดิม
ตัวเครื่องที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย จะเป็นสี Fog gray ที่เป็นสีเทาแบบโลหะ แบ่งเป็นทูโทนในส่วนที่เป็นโลหะขัดทราย และส่วนที่เป็นคลื่นนูน ส่วนตัวผมขอบดีไซน์นี้ที่นอกจากจะดูสวยงามแปลกตาแล้ว ส่วนที่เป็นคลื่นนูนยังให้สัมผัสเวลาถือกระชับจับถนัดมากขึ้นอีกด้วย รวมถึงผิวสัมผัสส่วนที่เป็นโลหะก็มีความละมุนมือ และมีรอยนิ้วมือเกิดค่อนข้างยากอีกด้วย
กล้องหลังของ OPPO Pad Air ให้มาเป็นกล้องเดี่ยว มุมกว้าง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ไม่มีแฟลช
ถึงจะเป็นแท็บเล็ต แต่ OPPO ก็ให้ซอฟท์แวร์ในการถ่ายภาพมาค่อนข้างครบ ที่ถ่ายได้ทั้งภาพ Photo, Video แล้วยังมีโหมด Portrait ถ่ายภาพบุค, พาโนราม่า ฯลฯ มาให้ใช้งานอีกด้วย
ขอบตัวเครื่องเป็นดีไซน์แบบเหลี่ยม ดูสวยเรียบๆ โดยในฝั่งที่ปุ่มปรับระดับเพิ่มลดเสียง จะมีช่องไมโครโฟน 2 ตัวอยู่ เพื่อช่วยให้เวลาสนทนาผ่านวิดีโอคอล ตัวไมค์จะตัดเสียงรบกวนรอบข้าง เพื่อให้เสียงของเรามีความคมชัดเจนมากยิ่งขึ้น
รวมถึงยังมีช่องของ Memory Tray สำหรับเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลภายในเครื่องด้วย microSD รองรับได้สูงสุด 512GB
ที่ขอบด้านบนและด้านล่าง จะมีช่องของลำโพง symmetrical 1W full-range 4 ตัว ประกอบกับ Qualcomm Snapdragon 680 Mobile platform ที่มาพร้อมกับ 8 CPU cores ช่วยสร้างมิติเสียงที่สมจริง กับระบบเสียง Dolby Atmos ทำให้ในการับชมคอนเทนต์บันเทิงต่างๆ ได้อรรถรสสมจริงในทุกรายละเอียด
พอร์ตเชื่อมต่อให้มาเป็นแบบ USB-C โดยที่ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ด้วยขนาดของเครื่องที่เล็ก บางและเบามาก ทำให้ OPPO Pad Air สามารถใส่กระเป๋าสะพายใบเล็กได้อย่างสบายๆ
หน้าจอ
ดีไซน์ด้านหน้าของจอ มีการเว้นขอบความกว้าง 8 มิลลิเมตรทั้ง 4 ด้านเท่ากัน อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 83.5%
โดยที่กล้องหน้าจะอยู่ที่ด้านฝั่งยาว เป็นการออกแบบมาเพื่อให้เวลาที่ใช้งานเครื่องในแนวนอนเพื่อประชุมหรือวิดีโอคอล ตัวกล้องจะอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด
ตัวหน้าจอขนาด 10.36 นิ้ว แบบ IPS ความละเอียด 2K 2,000 x 1,200 พิกเซล (225PPI) อัตรารีเฟรชหน้าจอ 60Hz ความสว่างสูงสุด 360nits แสดงความลึกของสี 1 พันล้านสี ให้ภาพที่สวยสมจริงมีมิติและความลึกของเฉดสีมากขึ้น
มาพร้อม Smart backlight ให้ค่าความสว่างที่สามารถปรับลดแสงได้ถึง 2,048 ระดับ ช่วยให้แสงของหน้าจอมีความสว่างที่นุ่มนวลมากขึ้น และเมื่อใช้ในสภาพแสงน้อยก็จะมีความสว่างน้อยลง ไม่ทำให้รู้สึกแสบตา และยังช่วยในเรื่องของการถนอมสายตา ที่ผ่านการรับรองจาก TÜV Rheinland ด้าน low blue light eye protection ช่วยกรองแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ช่วยลดอาการสายตาล้าจากการใช้หน้าจอต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ประสิทธิภาพ
สเปคภายใน OPPO Pad Air ใช้ชิปเซ็ตเป็น Qualcomm Snapdragon 680 Mobile platform ผลิตบนเทคโนโลยีระดับ 6 นาโนเมตร ช่วยให้สามารถทำงานต่างๆ ได้ลื่นไหล และยังประหยัดพลังงานได้มากขึ้น มาพร้อมกับ RAM 4GB แบบ LPDDR4X และ ROM 64GB แบบ UFS 2.2
สำหรับสเปคนี้ ถือว่าอยู่ในระดับกลางที่ใช้งานทั่วไปได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเน็ต, โซเชียล, แชท, ประชุมออนไลน์ หรือการเล่นเกมในระดับกราฟิกเริ่มต้นก็ยังใช้งานได้ดี
OPPO Pad Air เห็นตัวเครื่องบางๆ แบบนี้ แต่แบตเตอรี่ให้มาความจุถึง 7,100 mAh สามารถใช้งานได้แบบเต็มวัน สามารถดูวิดีโอความละเอียด HD ได้นานสูงสุดถึง 12 ชั่วโมง หรือใช้งานประชุมออนไลน์ผ่าน ZOOM ได้นานถึง 15 ชั่วโมง และยังมี 18W Fast Charge มาให้เพื่อให้การใช้งานต่อเนื่องได้นานยิ่งขึ้น
OPPO Smart Life Intelligent Stylus
แน่นอนว่า เมื่อเป็นแท็บเล็ต ก็สามารถทำงานเขียนบนหน้าจอด้วยปากกาสไตลัสได้ด้วย OPPO Pad Air รองรับการใช้งานร่วมกัน OPPO Smart Life Intelligent Stylus (ขายแยกต่างหาก) ตัวปากการองรับแรงกดได้ถึง 4,096 ระดับ มีความหน่วงต่ำ และรองรับการเอียงได้ถึง 60 องศา ทำให้การเขียนบนหน้าจอมีความรู้สึกใกล้เคียงกับการเขียนบนกระดาษมากขึ้น
ตัวปากกาออกแบบมาให้สามารถใช้งานร่วมกับ OPPO Pad Air ได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อและไม่ต้องชาร์จ โดยตัวปากกาจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AAAA เพียงก้อนเดียว มีอายุการใช้งานได้ถึง 1 ปี หรือ 1,000 ชั่วโมง และสแตนด์บายได้ถึง 10,000 ชั่วโมง
การใช้งานจด Notes สามารถเขียนได้ทันทีแม้ว่าจะปิดหน้าจอ เพียงแค่เอาปากกา Stylus มาแตะที่หน้าจอ ก็เขียนบันทึกได้เลย และยังมีปุ่มที่ด้านข้างของปากกาเพื่อเปลี่ยนใช้เครื่องมือเป็นยางลบหรือหัวแปรงอื่นๆ ได้
ColorOS 12.1 ออกแบบสำหรับใช้งานบนแท็บเล็ต
ตัวระบบปฏิบัติการ ColorOS 12.1 ได้รับการปรับแต่งเพื่อรองรับการใช้งานบนหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งยังใช้งานเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน OPPO ได้อีกด้วย
ColorOS 12.1 ออกแบบให้ทำงานแสดงผลแอปบนหน้าจอขนาดใหญ่ได้หลากหลายและสะดวก
- ถ้าต้องการใช้งาน 2 แอปพร้อมกันโดยแบ่งหน้าจอ ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้สองนิ้วปัดลากตรงกึ่งกลางของจอ ก็จะให้เราเลือกอีกแอปมาเปิดใช้งานได้ทันที
- การเปิดหน้าต่างคู่ ในบางแอปสามารถเปิดข้อมูลเดียวกันในอีกหน้า เพื่อให้เราไม่ต้องเปิดสลับ Back กลับไปมาบ่อยๆ
- Smart Sidebar ที่ซ่อนอยู่ด้านข้าง สามารถเข้าถึง Notes ได้โดยตรง หรือเลือกแอปที่เราใช้งานบ่อยๆ เอาไว้ แล้วลากมาเปิดแบบแบ่งหน้าจอได้อย่างรวดเร็ว
- เปิดแอปแบบหน้าต่างลอย เล็กๆ เพื่อใช้งานพร้อมกับแอปอื่นไปด้วย สามารถใช้วิธีควบคุมโดยการใช้ 4 นิ้วขยุมหน้าจอเพื่อย่อลงได้เลย
- E-ink screen เลือกปรับโหมดถนอมสายตา ที่นอกจากจะเลือกเป็นจอโทนเหลืองแล้ว ยังเลือกเป็นจอขาวดำเพื่อให้มีความสบายตา สำหรับเวลาใช้งานในการอ่านเอกสารหรือหนังสือ
Multi-Screen connection
ระบบที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตของ OPPO เชื่อมต่อกันแบบไร้สาย เมื่อทำการเชื่อมระบบแล้ว หน้าจอของสมาร์ตโฟนจะมาปรากฎเป็นหน้าต่างลอยอยู่บน OPPO Pad Air ที่ไม่ใช่แค่เอาไว้ดูแต่สามารถควบคุมมือถือจากบนแท็บเล็ตได้เลย
- สามารถพิมพ์ข้อความ หรือแก้ไขข้อมูลในโทรศัพท์ผ่านหน้าจอแท็บเล็ตได้เลย
- สามารถแตะแล้วลากไฟล์ เพื่อส่งไฟล์ไปยังแอปอื่น ข้ามเครื่องกันได้ อย่างเช่น กดเลือกรูปใน Gallery บนมือถือ แล้วลากมาปล่อยในแท็บเล็ต ไฟล์ก็จะถูก Copy มาที่แท็บเล็ตทันที
- แชร์คลิปบอร์ดระหว่างเครื่องกันได้ คุณสามารถคัดลอกข้อความในเครื่องใดเครื่องหนึ่ง แล้วเอาไปวางในอีกเครื่องได้ทันที
เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ความสะดวกในการทำงานข้ามอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องเชื่อมต่อสาย และยังใช้งานง่าย ไม่วุ่นวาย คุณสามารถเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนให้โชว์อยู่บนแท็บเล็ต แล้วเก็บสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋าไปได้เลย เพราะคุณสามารถควบคุมทั้งหมดผ่านจอแท็บเล็ตได้พร้อมๆ กัน
สรุป รีวิว OPPO Pad Air เหมาะสำหรับใคร
เป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์แท็บเล็ตรุ่นแรกที่น่าสนใจ กับขนาดหน้าจอ 10.36 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่คนนิยมกันมากที่สุด คือไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป แล้ว OPPO Pad Air ให้ความละเอียดที่ 2K 1 พันล้านสี ได้ภาพที่สวยคมชัด รองรับใช้งานกับปากกาสไตลัส และระบบเสียงที่เป็นลำโพง 4 ตัว Dolby Atmos ให้เสียงที่กระหึ่มมีมิติดี
กับราคาเปิดตัวถือว่าเป็นระดับที่เข้าถึงได้ง่าย เหมาะสำหรับใครที่อยากได้แท็บเล็ตสำหรับเด็กๆ ที่เอาไว้เรียนออนไลน์หรือใช้งานทั่วไป เล่นเกมต่างๆ ก็ยังเอาอยู่ หรือคุณพ่อคุณแม่อยากได้เครื่องสำหรับเอาไว้ดูหนังดูซีรีย์จอใหญ่ให้ภาพสวยเสียงดี ถือว่าน่าสนใจกับ OPPO Pad Air ตัวนี้
สรุป สเปค OPPO Pad Air
- ขนาดเครื่อง 245.08 x 154.84 x 6.94 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 440 กรัม
- หน้าจอ LCD IPS 10.36 นิ้ว
- อัตราส่วนหน้าจอต่อขนาดเครื่อง 83.5%
- ความละเอียด 2K 2,000 x 1,200 พิกเซล (225PPI)
- Smart Backlight 2,048 dimming zone
- ความสว่าง 360nits
- ความลึกของสี : 1 พันล้านสี
- ระดับเฉดสี NTSC TYP 71%
- อัตรารีเฟรชหน้าจอ 60Hz
- อัตราความไวหน้าจอสัมผัส 120Hz
- ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 680 Mobile Platform
- Quad-core (Cortex A73 x4 / Cortex A53 x4)
- GPU: Adreno 650
- ความจุภายใน ROM 64GB (UFS 2.2) รองรับเพิ่ม microSD ได้สูงสุด 512GB
- RAM 4GB LPDDR4X
- กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล (f/2.0) มุมมองกว้าง 80 องศา
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล (f/2.2) มุมมองกว้าง 77 องศา
- ถ่ายวิดีโอ 1080p/720p@30fps
- ระบบเสียง ลำโพง 4 ตัว รองรับ Dolby Atmos
- แบตเตอรี่ 7100 mAh พร้อมระบบชาร์จไว 18W Fast Charge
- ปลดล็อคหน้าจอ : สแกนใบหน้า
- เชื่อมต่อไร้สาย : Wi-Fi 2.4GHz / 5GHz, Bluetooth 5.1
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 12.1 บนพื้นฐาน Android 12
- รองรับอุปกรณ์เสริม ปากกา OPPO Smart Life Intelligent Stylus
OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Cancelling Earbuds
มาดู รีวิว อีกตัว กับ OPPO Enco Air2 Pro หูฟังไร้สายรุ่นใหม่จาก OPPO ที่ออกแบบมาเพื่อการรับฟังความบันเทิงด้วยเสียงระดับคุณภาพ ดีไซน์ที่สวมใส่สบาย พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน Active noise cancellation (ANC) และแบตเตอรี่ที่ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน
ในตัวแพ็กเกจของ Enco Air2 Pro จะมีตัวหูฟังใส่ให้มาอยู่ในเคสชาร์จเรียบร้อย ด้านในจะมีคู่มือการใช้งานเบื้องต้น สายชาร์จแบบสั้น หัวเป็น USB-A to USB-C และจะมีตัวจุกซิลิโคนให้เลือกเปลี่ยนได้อีก 2 ขนาด
ดีไซน์
ตัวเคสชาร์จมากับดีไซน์แบบ Refractive Bubble Case อันเป็นเอกลักษณ์ ที่ตัวฝาเปิดจะเป็นวัสดุใสครอบอีกชั้น ทำให้ดูสวยงามมีมิติ สำหรับ OPPO Enco Air2 Pro ที่เราได้มาทดสอบ รีวิว จะเป็นสีขาว (จะมีอีก 1 สีเป็นสีเทา) ตัวเคสเป็นรูปทรงโค้งมนเพรียวบาง พื้นผิวสัมผัสแบบด้านที่ให้ความนุ่มนวล สวยงามแบบเรียบง่ายแบบคลาสสิก
มีการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ด้วย Smiling Curve Design แบบใหม่ เมื่อเวลาที่เปิดเคสชาร์จขึ้นมา ตัวเคสจะมีลักษณะโค้งมนเหมือนกับรอยยิ้ม ทำให้มองเห็นตัวหูฟังที่อยู่ภายในได้มากถึง 77% มากกว่ารุ่นก่อนที่มองเห็นได้ 50% ช่วยให้เวลาหยิบหูฟังออกจากเคสทำได้ง่ายขึ้น
ตัวหูฟังไร้สาย ยังได้รับการออกแบบให้มีความเพรียวบาง สวมใส่ได้สบาย ลดแรงกดที่จะเกิดขึ้นเวลาสวมใส่เป็นเวลานาน และใช้ระบบควบคุมแบบสัมผัส ทำให้ใช้งานได้สะดวกมากขึ้น
OPPO Enco Air2 Pro ผ่านการรับรองมาตรฐานกันน้ำและกันฝุ่นระดับ IP54 ที่ให้คุณสวมใส่ได้อย่างไร้กังวลในทุกกิจกรรม ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะใส่ออกกำลังกาย ฝนตก กลางแจ้ง ฯลฯ
ประสิทธิภาพ
ตัวชุดไดรเวอร์ของหูฟัง เป็น Titanized diaphragm driver ขนาดใหญ่ 12.44 มม. ช่วยเพิ่มการดันอากาศมากขึ้น ขับให้เกิดการสั่นสะเทือนและให้เสียงเบสที่ทุ้มลึก มีความไดนามิกสูงพร้อมเสียงในย่านกลางที่สมดุล เสียงแหลมที่ละเอียดอ่อน ให้มิติเสียงที่คมชัด
รวมถึงการออกแบบให้ Chamber หลังขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ช่วยเพิ่มความสม่ำเสมอของเสียงเบส และยังเลือกปรับเสียงเบสใน Enco Live เพื่อให้ได้เสียงทุ้มหนักแน่นยิ่งขึ้น และการเข้ารหัสเสียงของ OPPO Enco Air2 Pro ใช้ codec ความละเอียดสูงแบบ AAC และ SBC เพื่อช่วยให้เสียงที่ได้มีรายละเอียดที่ครบถ้วนชัดเจน ได้เต็มอารมณ์ในทุกเพลงที่ฟัง
ความสามารถในการตัดเสียงรบกวน Active noise cancellation (ANC) ควบคุมโดยชิปประมวลผลแบบ Dual-core ที่จะจับสัญญาณเสียงรบกวนรอบข้างในย่านความถี่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงความถี่ต่ำอย่างเสียงจอกแจ่กจอแจในรถไฟฟ้าใต้ดิน รถโดยสารประจำทาง หรือเสียงความถี่สูงอย่างในพื้นที่ภายในอาคารและสำนักงาน ระบบจะประมวลผลและปรับให้เสียงรบกวนเหล่านี้ลดลง ทำให้เวลาที่เรารับฟังเพลงจะได้ยินเฉพาะเสียงเพลงอยู่โดยมีการรบกวนจากภายนอกเข้ามาน้อยที่สุด
การเชื่อมต่อไร้สาย ผ่านทาง Bluetooth 5.2 แบบ Binaural ที่มีค่าความหน่วงต่ำ เพียงแค่ 94 มิลลิวินาที ทำให้ใช้ในการเล่นเกมหรือดูหนังดูสตรีมมิ่ง ภาพและเสียงจะสัมพันธ์กันไม่มีหน่วง และการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของ OPPO ก็ทำได้ง่ายมากผ่าน Quick Pairing เพียงแค่เปิดเคสชาร์จ ก็จะมี ป็อปอัพ หน้าต่างแจ้งการเชื่อมต่อพร้อมบอกสถานะแบตเตอรี่ของหูฟังให้ทันที และการเลือกเปลี่ยนเชื่อมต่อ ก็เพียงแค่เปิดฝาเคสชาร์จ ก็พร้อมเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใหม่ได้ทันที
มาดูทางด้านของแบตเตอรี่ของ OPPO Enco Air2 Pro ตัวหูฟังสามารถใช้งานได้สูงสุดถึง 7 ชั่วโมง และถ้าใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ ก็จะใช้งานรวมแล้วได้มากสุดถึง 28 ชั่วโมง พร้อมกับรองรับ Flash Charging แค่คุณเก็บหูฟังเก็บเข้าเคสชาร์จแค่ 10 นาที ก็จะเติมพลังให้ใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้ถึง 2 ชั่วโมง เรียกว่าใช้งานต่อเนื่องได้ตลอดทั้งวันอย่างไม่มีสะดุด
การใช้งาน+ควบคุม
แนะนำว่าในการใช้งาน ให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น Heymelody มีให้ดาวน์โหลดทั้งในระบบ Android และ iOS ที่จะให้คุณปรับแต่งการใช้งาน OPPO Enco Air2 Pro ได้มากขึ้น ทั้งเรื่องของระบบเสียง และการควบคุมจากตัวหูฟัง ที่มีเซ็นเซอร์รับคำสั่งแบบสัมผัสที่ด้านหลังก้านของหูฟังทั้ง 2 ข้าง
- แตะสองครั้งที่หูฟังไร้สำยข้างใดข้ำงหนึ่ง: ข้ามไปยังเพลงถัดไประหว่างเล่นเพลง; รับสายหรือปฏิเสธสายเรียกเข้า หรือถ่ายภาพจากระยะไกลเมื่อเปิดแอปกล้อง
- แตะสามครั้งที่หูฟังไร้สาย: เปิดใช้งานผู้ช่วยเสียง Breeno
- แตะหูฟังไร้สายข้างใดข้างหนึ่งค้างไว้: แตะค้างไว้ 1 วินาทีเพื่อสลับระหว่างโหมด ANC และโหมด Transparency, แตะค้างไว้ 4 วินาทีเพื่อปรับระดับเสียงหรือสลับระหว่างอุปกรณ์
สรุป รีวิว OPPO Pad Air เหมาะสำหรับใคร
จุดเด่นของ OPPO Enco Air2 Pro นอกจากตัวดีไซน์ที่เรียบๆ มินิมอลแล้ว ฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ถือว่าให้มาค่อนข้างครบ มีการตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ANC ที่น่าประทับใจ เวลาขึ้นรถไฟฟ้าที่มีเสียงอึกทึกก็ทำให้เสียงเงียบลง และได้ยินเสียงเพลงที่เราเปิดอย่างชัดเจน ส่วนไมโครโฟนเสียงสนทนาก็เก็บเสียงพูดได้ชัดเจน
คุณภาพเสียงอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบแนวเสียงเบสแบบอิ่มๆ แน่นๆ ตัวนี้ทำได้ดีไม่ขี้เหร่ แถมเรื่องของแบตเตอรี่ก็ใช้งานต่อเนื่องได้เต็มวันสบายๆ เก็บชาร์จในเคสก็เติมแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็ว
สรุป สเปค Enco Air2 Pro
- น้ำหนัก : เคส 41.8 กรัม / หูฟัง 4.3 กรัม
- Driver : Titanized diaphragm driver ขนาด 12.4 มม.
- Driver sensitivity : 110.5±3dB
- Frequency response range : 20 Hz ~ 20 kHz
- Microphone sensitivity : -38 dBV/Pa
- เชื่อมต่อ : Bluetooth 5.2
- ระยะสัญญาณ : 10 เมตร
- มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น : IP54
- พอร์ตสำหรับชาร์จ : USB-C
- แบตเตอรี่ 43 mAh (ตัวหูฟัง) 440 mAh (เคส)
- ชาร์จเร็ว 10 นาที ใช้งานได้ 2 ชั่วโมง
- ใช้งานได้สูงสุด 7 ชั่วโมง / 28 ชั่วโมง (รวมกับเคส)
ราคา + โปรโมชั่น OPPO Pad Air และ OPPO Enco Air2 Pro
ราคาวางจำหน่าย OPPO Pad Air ราคา 9,999 บาท และ OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Cancelling Earbuds ราคา 2,499 บาท วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม เป็นต้นไปที่ OPPO Brand Shop ทุกสาขาและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
- รายละเอียดเพิ่มเติม OPPO Pad Air ดูเพิ่มเติมได้ที่ : https://bit.ly/3z5FlB9
- รายละเอียดเพิ่มเติม OPPO Enco Air2 Pro ดูเพิ่มเติมได้ที่ : https://bit.ly/3Qa7FcL
#OPPOPadAir #ดีไซน์บางโฉบเฉี่ยวสนุกได้ไม่จำกัด
#OPPOEncoAir2Pro #DivingIntoTheScene